หลายต่อหลายคนรู้ดีว่าความสำเร็จของนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรระดับโลกส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นจากผลของการ “ทบต้น” แทบทั้งสิ้น แต่พวกเขามักไม่รู้ว่าการทบต้นนั้นย่อมต้องมีต้นทุนของมันอยู่ และนี่คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีเพื่อดึงเอาพลังของการทบต้นออกมา
1. ระบบการลงทุนที่มีความเสถียรและมีประสิทธิภาพ
น่าเสียดายที่หลายๆคนที่หลงไหลในสมการทบต้นนั้นไม่รุ้ว่าสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาอย่างแรกเลยก็คือระบบการลงทุนหรือแนวทางในการลงทุนที่มีความเสถียร (Robust) … ระบบการลงทุนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องสัญญาว่าจะทำให้คุณลงทุนถูกที่ถูกทางอยู่ตลอดเวลาหรือมีกำไรเป็น XXX% เท่าภายในเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน (ซึ่งอันที่จริงแล้วพวกมันมักถูกสร้างมาเพื่อทำการตลาดในการขายระบบ โดย Curve Fit ระบบกับฐานข้อมูลในอดีตจนมากเกินไปแทบทั้งนั้น) ความสม่ำเสมอของการเติบโตต่างหากที่เป็นหัวใจในการทบต้น ในระยะยาวแล้วระบบการลงทุนที่อึดที่สุดและเสถียรที่สุดคือสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าทองสำหรับคุณ
2. เวลา
แม้การเติบโตของเงินทุนแบบทบต้นไปเรื่อยๆนั้นอาจไม่ต้องการผลตอบแทนที่หวือหวามากๆแต่มันกลับต้องการช่วงเวลาที่ยาวนานในการบ่มเพาะ หลายๆคนเมื่อพูดถึงระยะเวลาของการสร้างผลตอบแทนจากระบบขึ้นมานั้น พวกเขามักที่จะฝันหวานถึงความร่ำรวยจนเร็วเกินไป โดยเฉลี่ยแล้วมันไม่ได้กินเวลาเพียงแค่ 1 – 2 ปีเท่านั้นแต่เป็น 5 – 10 ปีต่างหาก ดังนั้นไม่ว่าคุณจะลงทุนด้วยระบบการลงทุนทางเทคนิคหรือพื้นฐานแล้ว จงนึกถึงคำว่า Long Run อยู่เสมอ เพราะมันคือต้นทุนของการทบต้นนั่นเอง
ภาพที่ 1 : แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของเงินทุนตามอัตราผลตอบแทนทบต้นหรือ CAGR ในแต่ละระดับตามจำนวนปี
เราจะสังเกตุได้ว่าจากกราฟแสดงการเติบโตของเงินทุนจากการทบต้นในระดับ CAGR ที่ 10% และ 20% ต่างก็ต้องใช้เวลาในการทำให้เงินทุนเติบโตเป็น 2 เท่าด้วยกันทั้งสิ้น โดยมันใช้เวลาราว 3.8 ปีสำหรับ CAGR ที่ 20% และราว 7.2 ปีสำหรับ CAGR ที่ 10%
3. ความสม่ำเสมอและอดทน
พวกเราที่รู้จักสมการหรือตารางการ “ทบต้น” ของเงินทุนนั้นมักที่จะมองโลกสวยงามจนเกินไป เพราะสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันมานั้นเป็นเพียงตัวเลขในเชิงอุดมคติเท่านั้น! โดยเมื่อมองไปยังกราฟแสดงการเติบโตของเงินทุนแบบทบต้นนั้นเราจะพบว่า ความจริงแล้วพวกมันเป็นเพียงแค่บทสรุปแบบ Snapshot ในแต่ละช่วงเวลาที่เราทำการวัดการเติบโตออกมาเท่านั้นเอง แต่เมื่อ Zoom เข้าไปในใส้ของมันแล้วเราจะพบว่า การลงทุนในโลกของความเป็นจริงนั้นต้องพบเจอกับอุปสรรค, หลุมและบ่ออย่างมากมาย พวกมันคือสิ่งที่เรียกว่า Drawdown และมันไม่มีทางที่คุณจะหนีมันไปพ้น คุณจึงต้องการความอดทนอดกลั้นและความสม่ำเสมอเพื่อที่จะยืนหยัดผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปให้ได้
ภาพที่ 2 : จากบทความเรื่อง ความอึด … ความลับของการลงทุน เผยให้เห็นถึง Drawdown ซึ่งเกิดขึ้นกับหุ้น BRK-A ซึ่งเทียบได้กับสิ่งที่ Portfolio ของ Warren Buffet ต้องเผชิญในการลงทุนของเขา
เราจะเห็นว่าถึงแม้ CAGR จากหุ้น BRK-A ตั้งแต่ปี 1991 – 2012 จะอยู่ที่ราว 11%/ปี (ซึ่งให้ผลตอบแทนพอๆกับการเติบโตในภาพที่แล้ว) แต่ในโลกของการลงทุนจริงๆนั้นการเติบโตของเงินทุนไม่ได้ราบเรียบเหมือนกับกราฟในเชิงทฤษฏีจากในภาพที่ 2 สักเท่าไหร่ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคุณต้องรู้จักที่จะอดทนอดกลั้นเพื่อให้พลังของการทบต้นแสดงออกมา
4. เงินทุน (เงินเย็น)
มันอาจดูเป็นเรื่องตลกที่ผมจะพูดถึงเงินทุน เพราะทุกๆคนย่อมต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าเราทุกคนจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อลงทุนในตลาด แต่สิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือเงินทุน “ที่ไม่หดหายไป” ต่างหาก เพราะการทบต้นนั้นเป็นการอาศัยเงินต่อเงินหรือที่เรียกว่าการ Re-Investment นั่นเอง ซึ่งหากว่าคุณเอาแต่ดึงเงินกำไรไปใช้อยู่ตลอดเวลาหรือแม้กระทั่งปล่อยให้เกิดการขาดทุนครั้งใหญ่ขึ้นบ่อยๆล่ะก็ พลังของการ “ทบต้น” นั้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เลย การรู้จักคิดถึงความเสี่ยงและรักษาเงินต้นเอาไว้ (Capital Preservation) จึงถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆอีกอย่างหนึ่งสำหรับสมการการทบต้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคุณจึงต้องพยายามรักษาระดับของเงินทุนที่มีอยู่เอาไว้ไม่ให้หดหายจนมากเกินไป
ภาพแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของอัตราการขาดทุนของพอร์ทโฟลิโอกับระยะเวลา (ปี) ที่ต้องใช้เพื่อที่จะกลับมาเท่าทุนจาก CAGR ในระดับ 10%/ปี และ 20%/ปี
เราจะเห็นได้ว่าเมื่อคุณขาดทุนมากกว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นไปแล้วนั้น ระยะเวลาที่ใช้ในการกลับมาเท่าทุนจะค่อยยาวนานมากขึ้นเรื่อยๆแบบทวีคูณ และเพียงแค่คุณขาดทุนไปเกินกว่า 30% ของพอร์ทนั้น คุณต้องใช้เวลาราว 2 ปีสำหรับ CAGR ที่ 20% และราว 4 ปีสำหรับ CAGR ที่ 10% เพื่อที่จะกลับมาเท่าทุนเท่านั้น! พูดง่ายๆว่าคุณอาจต้องรอดูบอลโลกครั้งหน้าเพื่อที่จะกลับมาเห็นพอร์ทเท่าทุนได้เลยทีเดียว (ถ้าคุณไม่ขาดทุนไปมากกว่านี้)
5. ศรัทธาและความเชื่อ
ผมเชื่อว่านี่อาจต้นทุนที่สำคัญที่สุดสำหรับการทบต้นเลยก็ว่าได้ เพราะการเดินทางที่ยาวนานโดยปราศจากการรับประกันต่อความสำเร็จนั้น คุณต้องการศรัทธาและความเชื่อมั่นอันแรงกล้าเพื่อที่จะไม่เลิกล้มหรือวอกแวกออกไปเสียก่อน นี่คือเส้นแบ่งบางๆที่แยกความเป็น Winner ออกจาก Loser หรือแยก Outlier ออกจาก Average เลยทีเดียว ดังนั้นแล้ว ก่อนที่คุณจะเริ่มเดินเครื่องหรือวางเงินลงไปในระบบการลงทุนใดๆนั้น คุณจึงควรที่จะต้องศึกษาและทดสอบมันอย่างเข้มข้นจนมั่นใจได้จริงๆเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วคุณอาจเสียเวลาและเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์จากการเปลี่ยนระบบ/แผนการลงทุนไปมาก็เป็นได้
สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากแง่คิดหนึ่งจากเซียน Poker ที่ผมคิดว่าเข้ากันได้มากๆกับสิ่งที่พวกเราต้องเจอในการลงทุนและการสร้างผลตอบแทนแบบทบต้น โดยที่เขาได้กล่าวเอาไว้ว่า …
“เมื่อพูดถึงคำว่าระยะยาวแล้ว … พวกมันมักที่จะยาวนานกว่าที่คุณคิดอยู่เสมอ!”
Larry W. Phillips
ผู้เขียนหนังสือ Zen and The Art of Poker
หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับทุกๆคน แล้วเจอกันใหม่บทความหน้าครับ ^_^