ปัจจัยที่มักจะทำให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลในการเล่นหุ้น และหนทางแก้ไข!
โดยทั่วไปแล้ว เหตุผลที่นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่พ่ายแพ้ต่อตลาดนั้น มักไม่ได้เกิดจากการที่พวกเขาไม่มีความรู้เพียงพอ หรือระบบการลงทุนของพวกเขาไม่มีประสิทธิภาพ ผมกล้าที่จะพูดอย่างนี้ เนื่องจากหากว่าคุณได้ลองย้อนกลับไปตรวจดูการซื้อขายที่ผ่านมา คุณจะพบว่าการขาดทุนส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากการที่คุณได้ปล่อยให้อารมณ์ของคุณ อยู่เหนือเหตุผลที่สมควรจะทำในสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก และคุณก็มักจะพบว่าคุณได้ “ตัดสินใจ” ทำในสิ่งที่คุณรู้ดีว่าไม่ควรทำอยู่เป็นประจำ หากว่าไม่ได้หลอกตัวเอง จริงไหมครับ?
ข่าวร้ายอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาทางจิตวิทยาการลงทุน ที่มักเกิดมาจากสัญชาติญาณที่ติดมากับตัวเราตั้งแต่กำเนิดหรือตั้งแต่เด็กๆ (ซึ่งมักไม่เหมาะกับในตลาดหุ้น) อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้นั้นสามารถถูกบรรเทาลงได้ด้วยการปรับสภาวะแวดล้อมที่เราต้องเจอ ให้เอื้ออำนวยต่อกระบวนตัดสินใจด้วยตรรกะและเหตุผลของเรามากยิ่งขึ้น
คำถามก็คือ… แล้วเมื่อไหร่หรือในสถานการณ์ไหนล่ะ ที่เรามักจะพึ่งพาระบบการตัดสินใจด้วยอารมณ์หรือสัญชาติญาณของเราโดยอัตโนมัติ?
นักจิตวิทยาได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ และได้พบว่าสถานการณ์ต่อไปนี้ คือสถานการณ์ที่จะมีผลทำให้เกิดเราเกิดความโน้มเอียง ในการที่จะพึ่งพาระบบการตัดสินใจด้วยอารมณ์และสัญชาติญาณของเราออกมาเหนือเหตุผล
1. เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นซับซ้อนและยาก
2. เมื่อฐานข้อมูลที่จะใช้ในการตัดสินใจนั้นไม่ครบถ้วน, กำกวมและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
3. เมื่อเป้าหมายของเราไม่ได้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจน, เปลี่ยนไปมา, หรือยากลำบากจนเกินไป
4. เมื่อมีความตึงเครียดจนมากเกินไป เนื่องจากเวลาที่บีบรัดเข้ามา หรือการที่อีโก้ของเราเข้ามาพัวพันกับสิ่งๆนั้นจนมากเกินไป
5. เมื่อการตัดสินใจต้องขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
และจากที่ได้อ่านมา เราจะเห็นได้ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่แทบจะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นอยู่ตลอดเวลา นี่จึงไม่แปลกเลยที่เราจึงมักตัดสินใจด้วยอารมณ์ในตลาดหุ้น (ถึงแม้จะไม่รู้ตัวก็ตาม) และนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อพูดถึงการเล่นหุ้นแล้ว EQ จึงสำคัญกว่า IQ เสมอ และยังเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม วอเรน บัฟเฟตต์ ถึงได้บอกไว้ว่า “การลงทุนนั้นง่าย แต่ทำยาก” (Investing is simple but not easy) ดังนั้น งานส่วนหนึ่งของการเล่นหุ้นก็คือ การที่เราจะต้องพยายามลดเงื่อนไขที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาในการลงทุนของพวกเรา ออกไปให้มากที่สุดนั่นเอง!
สำหรับทางหนทางแก้ไขนั้น ผมได้เขียนเอาไว้คร่าวๆเป็นข้อๆให้แล้วในเบื้องต้น แจาวันนี้อยากชวนเพื่อนๆช่วยกันมาออกไอเดียกันบ้างดีกว่า ว่าจะทำอย่างไรในการลดปัจจัยเหล่านี้ลงไปได้ตามวิธีของแต่ละคน อาจไม่จำเป็นต้องตอบทั้งหมด คนละข้อสองข้อก็ได้ น่าจะเป็นประโยชน์กันครับ อย่างไรก็ตาม ผมขอเสนอไอเดียเป็นคนแรกก่อนเลยละกัน คิดเห็นอย่างไรก็คุยกันได้นะครับ :D
หนทางแก้ไขเบื้องต้น
1. เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นซับซ้อนและยากลำบาก
ทำระบบการลงทุนให้ “ชัดเจน” และ “เข้าใจง่าย” ลงซะ อย่ามีเงื่อนไขให้มันมากนัก อย่าอิงกับตัวแปรหลายตัวจนมากเกินไป ใช้หลักการ KISS หรือ Keep It Simple And Stupid มาประยุกต์
2. เมื่อฐานข้อมูลที่จะใช้ในการตัดสินใจนั้นไม่ครบถ้วน, กำกวมและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ใช้ระบบการลงทุนหรือการตัดสินใจที่เรา “เข้าใจ” เป็นอย่างดี และพึ่งพาฐานข้อมูลที่ไม่มากจนเกินไปนัก หรืออย่าเล่นกับตลาดใน time frame ที่สั้นเกินไปจนคิดตามไม่ทัน
3. เมื่อเป้าหมายของเราไม่ได้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจน, เปลี่ยนไปมา, หรือยากลำบากจนเกินไป
ตั้งเป้าเอาไว้ให้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไรในการลงทุน มองหาอะไร และต้องทำอะไร ภายในประโยคสั้นๆจำง่ายๆ และท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ เช่น “ผมต้องการทำกำไรให้ได้มากกว่าขาดทุนในระยะยาว” หรืออาจเป็น “ซื้อกิจการที่ดีในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าของมันเท่านั้น”
4. เมื่อมีความตึงเครียดจนมากเกินไป เนื่องจากเวลาที่บีบรัดเข้ามา หรือการที่อีโก้ของเราเข้ามาพัวพันกับสิ่งๆนั้นจนมากเกินไป
รู้จักเตรียมการและวางแผนล่วงหน้าให้พร้อมก่อนตลาดเปิด, อย่าเอาอัตตาเรามาผูกกับผลลัพธ์ในแต่ละครั้ง มันเป็นความน่าจะเป็นๆๆๆๆๆๆ ซึ่งจะออกดอกผลในระยะยาว และพยายามควบคุมน้ำหนักการลงทุนในแต่ละ Position ให้เหมาะสม จะได้ไม่หน้ามืด จิตหลุดเอาดื้อๆ
(ผิดบ้างถูกบ้างจะเป็นอะไรไป ทุกวันนี้บางทีเดินยังสะดุด กินน้ำยังสำลัก พูดจากบางทียังผิดๆถูกเลย ขอเพียงแต่ไม่ประมาท และคุมความเสี่ยงของเราให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลาก็โอเคแล้ว ว่าแต่…ได้ทำกันบ้างหรือยัง อิอิ)
5. เมื่อการตัดสินใจต้องขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ตัดสินใจด้วยตัวเอง รู้จักให้เวลากับการวางแผนและตัดสินใจอย่างเงียบๆเพียงลำพังบ้าง หลีกเลี่ยงการเสพข่าวสารจนเกินพอดี หรือฟังข่าวลือหรือคุยกับใครจนมากเกินไป เพื่อลดบรรยากาศที่จะทำให้อารมณ์ “พาไป” อย่างที่มักจะเกิดขึ้น
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กันไม่มากก็น้อยนะครับ ที่เหลือผมรอฟังของเพื่อนๆอยู่นะครับ :D