หลายๆคนอาจไม่เคยสงสัยว่า … “เหตุใดพวกเขาจึงมีกำไรเกิดขึ้นมา?” หลายคนเชื่อว่าเพราะพวกเขาซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน อีกหลายคนเชื่อว่าพวกเขาซื้อหุ้นได้ถูกจังหวะ และอีกหลายคนเชื่อว่าพวกเขาซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถที่จะสรุปได้ในความหมายเดียว นั่นก็คือ พวกเราต่างก็สามารถทำกำไรขึ้นมาได้ เนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพของตลาด (Market Inefficiencies หรือ Market Anomalies) นั่นเอง
** เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสาร ในบทความนี้ผมจะเรียกกลยุทธ์การทำกำไรในรูปแบต่างๆว่าระบบการลงทุน ไม่ว่ามันจะเป็นไปในรูปแบบใดๆก็ตาม (พื้นฐาน, เทคนิค, ลางสังหรณ์ … อื่นๆ)
เหตุใดคุณจึงมีกำไร?
เหตุที่ระบบการลงทุนต่างๆนั้น สามารถที่จะทำกำไรขึ้นมาได้ก็เนื่องมาจากว่า พวกมันสามารถที่จะค้นพบโอกาสจากความไร้ประสิทธิภาพของตลาดด้วยกันทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ระบบการลงทุนที่สามารถจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำอย่างมากได้ ก็เนื่องมาจากมันสามารถค้นพบโอกาสที่ตลาดไรเสถียรภาพอย่างมากออกมาได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราควรจะระลึกเอาไว้อยู่เสมอก็คือ เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว ระบบการลงทุนทุกๆแบบจะต้องพบกับจุดตกต่ำหรือจุดที่มันหมดประสิทธิภาพลงไป (อาจเป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้) เหตุก็เนื่องมาจากเมื่อผู้คนต่างก็ค้นพบและช่วงใช้มันจนมากในระดับหนึ่ง การกระทำต่างๆเหล่านี้จะค่อยๆลดทอนเอาความไร้ประสิทธิภาพที่ระบบสามารถค้นพบออกไปจนน้อยลงไปเรื่อยๆ
เมื่อระบบการลงทุนแบบใดๆได้ถูกค้นพบและช่วงใช้โดยคนหลายๆกลุ่มจนถึงในระดับหนึ่งนั้น ความเชื่องช้าต่อการตอบสนองถึงความไร้ประสิทธิภาพของตลาด และปริมาณการซื้อขายที่ไหลเข้าไป จะทำให้ตลาดค่อยๆมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดที่มันไม่อาจจะให้กำไรต่อเรากลับมาได้
หลักฐานบางอย่างของความไร้ประสิทธิภาพภาพของตลาด
หลักฐานต่างๆเหล่านี้เราสามารถที่จะเห็นกันได้โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการเกิดช่วงที่ระบบต่างๆเกิด Drawdown หรือแม้แต่เมื่อเรามองไปที่ตลาด เราจะเห็นถึงภาวะของการที่ตลาดเกิดช่วง Bull, Bear หรือ Sideway นั่นเอง ยกตัวอย่างง่ายเช่น เมื่อตลาดเข้าสู่ช่วง Sideway มันจะคงอยู่อย่างนั้นในช่วงเวลาหนึ่ง และระบบการลงทุนแบบ Swing Trading หรือซื้อมาขายไปตามแนวต้านแนวรับจะสามารถทำกำไรได้เป็นอย่างดี จนถึงจุดหนึ่งที่เมื่อคนหลายๆกลุ่มเริ่มที่จะสังเกตุและช่วงใช้มัน จุดนั้นเองที่ความมีประสิทธิภาพของตลาดจะเพิ่มขึ้นจนระบบเหล่านี้ไม่เกิดกำไรอีกต่อไป (โดยเฉพาะระบบที่มีตัวแปรหลายตัว – Curve Fit เพื่อจับเอาภาวะใดภาวะหนึ่งของตลาดโดยเฉพาะ) และตลาดก็จะดำเนินเข้าสู่ช่วงที่เป็นแนวโน้ม ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาของการทำกำไรของระบบการลงทุนแบบ Trend Following หรือแม้แต่ Fundamental Investing นั่นเอง
รูปแบบของปรากฏการณ์ความไร้ประสิทธิภาพของตลาด
สำหรับปรากฏการณ์ความไร้ประสิทธิภาพของตลาดที่รู้จักกันดีและมีความคงทน (Robust) มาอย่างยาวนานนั้น ผมจะเลือกนำมาเล่าให้ฟังกันในวันหลัง ซึ่งพวกมันก็ล้วนแล้วแต่เป็นกระดูกสันหลังของกลยุทธ์หรือระบบการลงทุนในรูปแบบต่างๆโดยทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
- Momentum (ความเฉื่อยหรือแนวโน้ม)
- Contraction-Expansion (ภาวะการหดแคบและยืดออกของกรอบราคา)
- Price Level (ระดับของราคาหุ้น)
- Neglect (การกลับมาร้อนแรงหลังจากที่หุ้นถูกลืมหรือหลับไหลไป)
- Virgin (หุ้นที่ยังอยู่ในวัยเยาว์พึ่งสร้างธุรกิจหรือเข้าตลาดใหม่ๆ)
- Earning Growth (การเติบโตของผลกำไร)
- P/E Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น)
- P/CF Ratio (อัตราส่วนราคาต่อเงินสดต่อหุ้น)
- P/S Ratio (อัตราส่วนราคาต่อยอดขายต่อหุ้น)
- Size (ขนาดของหุ้น)
- Volume (การเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น)
- อื่นๆ
มีบทความและงานวิจัยหลายๆชิ้นบ่งชี้ว่า หากเราสร้างระบบการลงทุนโดยอิงอยู่กับปรากฏการณ์เหล่านี้นั้น เรามีโอกาสที่จะสามารถสร้างระบบการลงทุนที่จะให้กำไรออกมาได้ในระยะยาวอยู่เป็นอย่างมาก ดังนั้นหากใครกำลังว่างๆลองหาข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ความไร้เถียรภาพของตลาดเหล่านี้มาลองพิจารณากันดูนะครับ