Lucas นั้นจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก Central Connecticut State University in New Britain และได้เข้าศึกษาต่อจนจบในสาขาชีววิทยาสถิติ(Biological Statistcs) จากมหาวิทยาลัย University of New York และหลังจากที่เขาได้ออกจากการรับราชการทหารประจำการฐานควบคุมการปล่อยจรวดมิสไซล์ที่ North Dakota ในปี 1966-1970 เขาจึงได้เริ่มอาชีพเป็นนัก Computer Programer ที่ Signa Insurance ในเมือง Hartford.Con.
Lucas ได้เปิดใจกับเราว่า “หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง หากว่าคุณไม่ใช่พวกที่เสพย์ติดคอมพิวเตอร์ คุณจะกลายเป็นคนล้าสมัย” และ “ผมต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากเดิมสักหน่อยครับ” และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้เลือกเข้ามาทำงานที่ E.F.Hutton หลังจากนั้น ส่วน LeBeau นั้น ตัวเขาเองได้เริ่มเข้ามาสนใจตลาด Futures ก่อน Lucas เป็นเวลาพอสมควร ตั้งแต่ที่เขายังเรียนอยู่ทีมหาวิทยาลัย California State University เขาได้เลือกเข้าเรียนในวิชาการลงทุนซึ่งทำการสอนโดย Charles Harlow ผู้ที่เป็นนักเก็งกำไรในตลาด Commodities ในช่วง Generation ที่สองของเหล่า Trader ในอเมริกา โดยหลังจากที่ Chuck ได้จบการศึกษาในปี 1963 นั้น เขาได้ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารในกองทัพ และเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้เลื่อนตำแหน่งเป็น Captain และได้รับมอบหมายให้ทำการบังคับบัญชาหน่วยทหารคุ้มครองในสถานทูตของอเมริกา ณ กรุงปารีส โดยหลังจากที่เขาได้เสร็จสิ้นภาระหน้าที่ของเขาแล้ว เขาจึงได้เข้ามาทำงานเป็น Broker อยู่ที่ E.F.Hutton ในปี 1967
ในปี 1988 นั้น LeBeau และ Lucas ได้ร่วมมือกันเขียนวารสารรายเดือน, เขียนหนังสือและช่วยกันทำการทำการเขียนและพัฒนาระบบการลงทุนสำหรับเหล่าที่ปรึกษาการลงทุนในตลาด Commodities ของบริษัท Island View Financial Group ในเมือง Torrance, California
Lucas บอกกับเราว่า “เมื่อเริ่มแรกนั้น เราได้ทำการเขียนโปรแกรมเล็กๆซึ่งถูกนำมาใช้ในการช่วยทดสอบผลการใช้ Moving Average ต่างๆกว่า 20,000 รูปแบบกับตลาดต่างๆ และเราได้ทำการทดสอบกันในเครื่องคอมพิวเตอร์ 286 เป็นเวลาหลายสัปดาห์เลยทีเดียว” และเขายังพูดไปว่า “หลังจากเวลาเป็นเดือนๆที่เราได้ใช้ในการทดสอบพยายามหาจอกศักดิสิทธิ์ของตลาดหุ้นนั้น เราได้พบกับความจริงที่ว่า หาตลาดนั้นเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มขึ้นมา ไม่ว่า Moving Average รูปแบบๆไหนๆก็จะทำเงินได้ทั้งนั้น”
นั่นจึงทำให้พวกเขาทุ่มเทความพยายามลงไป ในการที่จะแยกแยะและบ่งบอกถึงภาวะของความเป็น “แนวโน้ม” ของตลาด และทำการวัดค่าความเร่งของมัน พวกเขาพบว่าเครื่องมือที่ดีที่สุดในการวัดก็คือ Directional Movement(DI) นั่นเอง(คิดค้นโดย Welless Wilder และถูกเขียนตีพิมพ์ในหนังสือ The New Concept in Technical Trading Systems”) โดยเครื่องมือนี้จะทำการหาค่าของทิศทางการเคลื่อนไหวที่มากที่สุดนอกระยะของวันก่อนหน้าออกมา โดยให้ค่าเป็น DI+ ในกรณีที่ตลาดวิ่งขึ้น และ DI- ในกรณีที่ตลาดวิ่งลงนั่นเอง