fbpx
บทสัมภาษณ์เซียนหุ้น

บทสัมภาษณ์เซียนหุ้น : Nicholas Darvas : The only interview with Nicholas Darvas (2)

Google+ Pinterest LinkedIn Tumblr

darvas บทสัมภาษณ์เซียนหุ้น 2 บทสัมภาษณ์เซียนหุ้น Nicholas Darvas : The only interview with Nicholas Darvas in the world (2)

I: ผมเข้าใจว่าคุณกำลังหมายความว่าอย่างไรครับคุณ Nic! อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีบางอย่าง ที่ไม่ได้ถูกเขียนไว้ในหนังสือหุ้นของคุณ และผมก็ต้องการที่จะถามเกี่ยวกับข้อสงสัย ในวิธีการเล่นหุ้นหรือสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นอย่างมาก คุณจะว่าอะไรไหมครับ?

Nic: โอเค ถามมาได้เลยครับ!

I: คุณบอกว่าคุณไม่เคยเล่นหุ้นในตลาดขาลงหรือตลาดหมีเลย คุณจะเข้าซื้อหุ้นก็ต่อเมื่อตลาดหุ้นนั้น “มีความน่าจะเป็นอย่างสูง ที่จะทำกำไรให้คุณได้” เท่านั้น และนั่นก็คือเมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะกระทิงนั่นเอง สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ คุณมีวิธีการอย่างไร ในการที่จะระบุว่าตลาดหุ้นในขณะนั้นกำลังอยู่ในภาวะกระทิงหรือหมีครับ?

Nic: โอ้! นั่นเป็นสิ่งที่ยากและมีรายละเอียดเยอะมากๆทีเดียวครับ… ผมล้อเล่นน่ะ! สิ่งที่ผมดูทั้งหมดนั้น ก็แค่มองไปที่กราฟรายสัปดาห์ (Weekly Chart) ของดัชนีหลักๆในตลาด ภายในเวลาที่ผ่านมา 6 เดือน โดยหากว่าภาพรวมของมันยังคงตกลงมา นั่นก็จะแปลว่าเรากำลังอยู่ในตลาดหมี แต่ถ้าหากว่ามันเคลื่อนออกด้านข้างหรือขยับขึ้นไป นั่นก็จะแปลว่าเรากำลังอยู่ในตลาดกระทิง ผมทำมันง่ายๆอย่างนี้แหละครับ

I: แค่นี้เองหรือครับ? ฮาฮา น่าตกใจจริงๆ นักวิเคราะห์หลายๆคนใช้เวลาเป็นวันๆ ในการที่จะวิเคราะห์จากรายงานทางเศรษฐกิจ, แนวโน้มต่างๆ, หรือบทวิจัยคาดการณ์ต่างๆ แต่คุณกลับมองไปที่กราฟรายสัปดาห์.. หรือว่าจริงๆแล้วนี่เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์ เหล่านั้นควรที่จะทำตามอย่างคุณบ้าง?

Nic: บางทีอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ครับ ผมก็มักที่จะหัวเราะกับวิถีทาง หรือกลไกลการขับเคลื่อนของตลาดหุ้นอยู่บ่อยๆเช่นกัน แต่.. ก็อย่างที่เข้าใจกัน พวกนักวิเคราะห์ก็จำเป็นที่จะต้องทำงานของเข้าให้ดีที่สุดเช่นกัน ในทำนองเดียวกันนี้ หากว่าการศึกษารายงานวิจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ หรือการเขียนบทวิเคราะห์นั้นดีสำหรับพวกเขา คุณก็จะพบว่า แนวทางหรือวิธีการต่างๆที่มีความเรียบง่ายและชัดเจนที่สุด ก็คือสิ่งที่จะสามารถประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดีที่สุดเช่นกัน และนี่คือเหตุผลว่าทำไม ผมจึงไม่เคยสนใจที่จะเรียนรู้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่พิสดารมากๆ นั่นก็เพราะว่ามันดูไม่ค่อยมีเหตุผลสำหรับผมสักเท่าไหร่ครับ

I: Nic คุณหมายความว่าอย่างไร กับคำว่า “การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่พิสดาร” ครับ?

Nic: คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสำหรับผมแล้ว แนวทางที่ผมจะใช้นั้น มันจะต้องสามารถเข้าใจได้โดยง่ายและมีเหตุผลที่เข้าท่า ผมจะต้องสามารถอธิบายมันกับเพื่อนของผม (ซึ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตลาดหุ้นเลย) และเขาจะต้องสามารถเข้าใจถึงเหตุผลที่มันจะใช้ได้จริงๆอย่างรวดเร็ว และมันจะต้องเข้าใจได้โดยง่ายด้วย common sense ธรรมดาๆนี่แหละครับ

แนวทางการเล่นหุ้นของผมนั้น ไม่มีอะไรที่มากไปกว่า การมองหาหุ้นที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด, เป็นสุดยอดของหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่อยู่ในขาลง และผมจะขี่มันไปเรื่อยๆให้ไกลที่สุด จนกว่าที่มันจะถึงเวลาที่ผมจะต้องขายมันออกไป.. คุณเข้าใจมันได้ง่ายๆไหมครับ? แต่หากว่าคุณลองถามนักเล่นหุ้นคนอื่นๆ พวกเขาบางคนอาจจะพูดถึงทฤษฏี Elliott waves, Fibonanci Retracment , Cycles หรืออะไรอื่นๆอีกมากมาย.. คำถามของผมก็คือ แล้วอะไรคือเหตุผลของทฤษฏีที่จะตอบได้ว่า “แล้วทำไมหุ้นถึงจะต้องวิ่งขึ้นไปด้วยล่ะ?” และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผมมักจะได้รับคำตอบที่ค่อนข้างว่างเปล่าหรือไร้น้ำหนักกลับมานั่นเอง พวกเขากลับไม่มีเหตุผลที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า มันสมควรที่จะถูกใช้ในการเล่นหุ้น มันไม่สามารถตอบได้ด้วย common sense หรือสามัญสำนึกของคุณ ว่าทำไมหุ้นควรที่จะวิ่งขึ้นไป และผมยังพบว่า วิธีการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคที่มีความยุ่งยากและซับซ้อนที่สุดเหล่านี้ มันค่อนข้างที่จะดูดีในทฤษฏี แต่ขาดความสมเหตุสมผลในสามัญสำนึกนั่นเองครับ

สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ นักเล่นหุ้นควรที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขา ไปกับการจัดการกับตัวของพวกเขา และการบริหารเงินทุนของพวกเขาแทน มากกว่าที่จะมาเสียเวลาหา “ความลับ” ใหม่ๆของตลาดหุ้น

I: เอาล่ะ ผมขอพูดถึงเรื่องของเวลากันบ้าง คุณมักใช้เวลาโดยเฉลี่ยมากแค่ไหนในแต่ละวัน ในการที่จะบริหารพอร์ทการลงทุนของคุณครับ?

Nic: ผมมักที่จะอ่าน Barrons เป็นประจำทุกๆวัน อันที่จริงแล้ว ก็ไม่เชิงว่าจะอ่านนัก แต่เป็นการสแกนผ่านมันไปคร่าวๆเสียมากกว่า แต่มันก็ทำให้ผมสามารถรู้ได้ว่า แนวโน้มของตลาดโดยรวมในขณะนั้นเป็นอย่างไร หรือกลุ่มอุตสาหกรรมไหนคือกลุ่มที่นำตลาด หรือหุ้นตัวไหนที่กำลังโดดเด่นเป็นผู้นำตลาดในขณะนั้น และนั่นก็เป็นทั้งหมดที่ผมต้องการจะรู้ครับ โดยเฉลี่ยแล้วผมมักใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น และหากว่าผมมีหุ้นหรือถือหุ้นตัวไหนอยู่ในขณะนั้น ผมก็จะมองไปที่ Quote ราคาของหุ้นตัวนั้น เพื่อที่จะดูว่า ผมจำเป็นที่จะต้องยก “จุดตัดขาดทุน หรือ Trailing Stop” ของผมขึ้นมาหรือยัง หากว่ามันถึงเวลาแล้ว ผมก็จะส่งคำสั่งไปให้กับ Broker ของผมอีกครั้ง และนี่ก็ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 10 นาทีเช่นกันครับ

I: คุณหมายความว่า โดยเฉลี่ยแล้วคุณบริหาร์พอร์ทหลายล้านดอลลาร์ด้วยเวลาประมาณแค่ 20 นาทีต่อวันเท่านั้นหรือครับ? กองทุนรวมส่วนใหญ่ หรือแม้กระทั่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะต้องทึ่งกับสิ่งที่คุณบอกแน่ๆ คุณสามารถที่จะอธิบายได้หรือไม่ว่า แล้วทำไมพวกเขาจึงต้องใช้เวลามากกว่า 8 ชม. ต่อวันในการที่จะบริหารพอร์ทการลงทุนของพวกเขาล่ะ?

Nic: ผมคงบอกได้เพียงแค่ว่า สุดท้ายแล้วคำตอบของมันก็จะกลับมาที่จิตวิทยาของคนเรานี่แหละครับ โดยทั่วไปแล้วกองทุนส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาอย่างมากในแต่ละวัน ก็เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้น สามารถที่จะมีความยืดหยุ่นในการที่จะโยกย้ายเงินลงทุนของพวกเขาไปมาได้นั่นเอง และนี่คือความได้เปรียบที่สุดของนักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเรา เหนือกองทุนเหล่านั้นครับ

ทั้งนี้ คุณควรต้องเข้าใจถึงขึ้นตอนต่างๆ เบื้องหลังการบริหารพอร์ทของกองทุนเหล่านี้ด้วย พวกเข้าไม่สามารถที่จะเพียงแค่เห็นโอกาสและทำการเข้าซื้อ-ขายหุ้นโดยทันที เพราะพวกเขาจะต้องทำตามขั้นตอนต่างๆจนครบถ้วน แล้วจึงเข้าพบกับทีมบริหาร, ผู้ถือหน่วยลงทุนหลักๆ หรือแม้กระทั่งนักวิเคราะห์ และนี่หมายถึงกระบวนการที่อาจยาวนานเป็นหลายอาทิตย์เลยก็ได้ ซึ่งช่วงเวลาที่เสียไปเหล่านี้ อาจทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นไปมากกว่า 10, 15, 20%+ แล้วก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเสียเปรียบเป็นอย่างมาก

ผมยังเชื่อว่านักลงทุนรายบุคคลอย่างพวกเรานั้น สามารถที่จะเอาชนะผลตอบแทนซึ่งต้องหักค่าบริหารการลงทุนไปกว่า 5% จากกองทุนเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย และเราสามารถที่จะทำได้ดีกว่าด้วยตัวของเราเองอย่างแน่นอน

ดังนั้น สำหรับการที่จะตอบคำถามนี้นั้น คำตอบของผมก็คือ คุณควรใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีต่อวันก็พอ ผมเชื่อว่ายิ่งคุณใช้เวลามากกว่านี้เท่าไหร่ในแต่ละวัน มันยิ่งอาจจะทำให้ผลตอบแทนของคุณลดลงก็ได้

หนังสือหุ้น Darvas ฉบับ Original I: เมื่อพูดถึงหนังสือ “How I Made Millions In The Stock Market” ของคุณนั้น ผมสังเกตุได้อย่างชัดเจนว่า คุณค่อนข้างที่จะแบกรับความเสี่ยงเป็นอย่างมากในช่วงต้นๆของการลงทุนของคุณ ผมหมายถึงในช่วงที่คุณลงทุนอย่างเต็มที่ โดยใช้มาร์จินถึง 50% หรือเต็มอัตราเลยทีเดียว และหากว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดผิดพลาดขึ้นมา ผมคงจะพูดได้อย่างมั่นใจว่า คุณอาจจะไม่ได้มาถึงตรงนี้ก็ได้ นั่นทำให้คนบางคนมองว่าคุณนั้นเป็นแค่พวกที่โชคดีในตลาดหุ้น คุณจะตอบคำถามต่อสิ่งเหล่านี้ หรือคนที่พยายามจับผิดเหล่านี้ได้อย่างไรครับ?

Nic: พยายามจับผิด? คุณกำลังพูดถึงในขณะที่ผมได้เข้าซื้อหุ้น E.L Bruce อยู่ไช่ไหม? ผมจะบอกกับคุณอย่างไรดีนะ?.. แน่นอนว่าเมื่อมองกลับไปนั้น มันอาจดูเหมือนการพนันจนเกินไปก็ได้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะแน่นอน จนทำให้ผมได้กำไรกว่า 295,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว เนื่องจากในขณะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างลงตัวและดูดีเหลือเกิน ตลาดหุ้นนั่นแข็งแกร่งมากๆ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นและปริมาณการซื้อ-ขายของมันก็เช่นกัน และผมยังทำกำไรได้เป็นอย่างมากกับหุ้น Lorillard และ Diners Club หลังจากนั้นไม่นาน หนำซ้ำเมื่อมองกลับไป ผมยังพบว่า ถ้าหากผมตั้งจุดตัดขาดทุน หรือ Trailing Stop ให้แคบกว่านั้น มันจะทำให้กำไรของผมลดลงน้อยกว่านั้นมากด้วยซ้ำ

สำหรับผมแล้ว ผีพนันในตลาดหุ้น คือพวกที่ทำได้แค่ “ซื้อและฝากความหวัง” ไว้เพียงเท่านั้น แน่นอนว่า ผมเล่นหนัก แต่ผมจะทำอย่างนั้นก็ต่อเมื่อ ทุกๆอย่างนั้นเข้าที่เข้าทางและลงตัวเป็นอย่างดี ผมสามารถที่จะอยู่เฉยๆนอกตลาดได้เป็นเดือนๆโดยไม่รู้สึกอะไร ผมเคยแม้กระทั่งอยู่นอกตลาดกว่า 2 ปีโดยไม่ซื้อหุ้นตัวใดเลย เพราะผมไม่มี “ความจำเป็น” ที่จะต้องมาเสียเงินในตลาดกับหุ้นแย่หรือแก่จนเกินแกงนั่นเอง สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ โอกาสเหล่านี้ต้องชัดเจนอย่างมากเหมือนกับมันวิ่งเข้ามาชนที่หน้าของผม หรือไม่ผมก็จะไม่สนใจมันเลย และเมื่อไหร่ที่ผมคิดผิดไป ผมจะรีบหนีออกมาด้วยการตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้ผมขาดทุนน้อยมาๆ ผมไม่เคยปล่อยให้การขาดทุนของผมใหญ่จนผมไม่สามารถควบคุมมันได้ คุณคิดว่านี่คือ “การพนัน” หรือความบ้าบิ่นของผมรึปล่าวล่ะ?

I: คุณเรียกตัวเองว่านักเก็งกำไร หรือนักลงทุนครับ?

Nic: คุณถามผมว่านักเก็งกำไร หรือนักลงทุนงั้นหรือ? ผมคิดว่ามันไม่ตรงกับสิ่งที่ผมเป็นสักเท่าไหร่ แต่ในความเห็นของผมแล้ว ผมคิดว่าผมน่าจะเข้าเค้าของความเป็น “นักลงทุน” เสียมากกว่า เนื่องจากผมจะมองหา “อุตสาหกรรมที่ยังอยู่ในวัยแรกรุ่น” เพื่อที่จะมองหาหุ้นที่แข็งแกร่ง และทำกำไรได้มากที่สุดในอุตสาหกรรมใหม่ๆเหล่านี้ หลังจากนั้นผมจะรอคอยให้ “ดาวรุ่ง” เหล่านี้เติบโตขึ้นมา ก่อนที่ผมจะกระโดดเข้าซื้อมัน

I: อุตสาหกรรมในวัยแรกรุ่น… ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุด แต่เป็นอุตสาหกรรมในวัยแรกรุ่นงั้นหรือ? ทำไมล่ะครับ?

Nic: ลองคิดดูดีๆสิครับ แนวทางการเล่นหุ้นของผมนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าสามัญสำนึกง่ายๆ อุตสาหกรรมใหม่ๆนั้น คือที่ที่ “ความคาดหวัง” จะไปอยู่ตรงนั้น เพราะมันคือความสดใหม่ ผู้คนมักที่จะตื่นเต้นและคาดหวังไปกับอุตสาหกรรมใหม่ๆเหล่านี้ และนี่คือที่ที่ “ความบ้าคลั่ง” จะเข้ามา และนั่นทำให้ราคาของหุ้นส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อขายในสิ่งที่มันได้เคยทำมา แต่จะซื้อขายกันในราคาที่ผู้คน “คิด” ว่ามันจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต อีกทั้งอุตสาหกรรมใหม่ๆนั้น คือที่ที่ “เงิน” ก้อนใหม่ๆจะไหลเข้ามา มันคือไอเดียใหม่ และความหวังใหม่ๆ

อาจมีบางคนพูดว่า “คราวนี้มันอาจไม่เหมือนครั้งก่อนๆนะ” แต่นั่นไม่ใช่สำหรับผม ผมจะไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมวิทยุ, รถยนต์ หรือทีวีหรอกนะ เนื่องจากพวกมันได้มียุครุ่งเรืองของพวกมันมาแล้ว มันแค่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของมันไป เหมือนกับเหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่ผมจะลงทุนไปกับกระแสของโลกอยู่เสมอ จำไว้ให้ดีว่า ทุกๆรอบใหม่ๆของตลาดหุ้นนั้น จะนำอุตสาหกรรมใหม่ๆตามออกมาด้วยเสมอครับ

… วันนี้จบแต่เพียงเท่านี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อตอนสุดท้ายให้นะครับ ขอบคุณทุกๆคนที่คอมเมนท์และเข้ามาเยี่ยมไว้ล่วงหน้า หวังว่าจะไม่ผิดหวังกับการเข้ามาอ่านเรื่องราวของเซียนหุ้นคนนี้นะครับ :D

แมงเม่าคลับ.คอม หนังสือหุ้นน่าอ่าน, วิธีการเล่นหุ้น, การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค, จิตวิทยาการลงทุน และการบริหารเงินทุน Money Management

ถ้าเห็นว่าบทความไหนมีประโยชน์ เพื่อนๆสามารถที่จะนำบทความไปแปะเพื่อแบ่งปันได้โดยไม่มีปัญหา แต่ยังไงขอแรงช่วยลิงค์อ้างอิงกลับมาที่แมงเม่าคลับกันหน่อยนะครับ :D หมายเหตุ : สำหรับการแปะลิงค์ใน Pantip.com ช่วยใส่ Link ให้เป็น http://www.mangmaoclub.com เพื่อให้แปะลงไปได้โดยไม่ Error ขอบคุณครับ :)