เกริ่นนำ
หนังสือ “ถอดรหัสเซียนหุ้น : กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์” เล่มนี้นั้น แปลจากต้นฉบับหนังสือ How to trade in stocks by Jesse L. Livermore Duel, Sloan & Pearce, 1940 Original โดยที่ผม มนสิช จันทนปุ่ม (มด แมงเม่าคลับ) ขออนุญาติสงวนลิขสิทธิ์ในการดัดแปลงแก้ไข และใช้งานเพื่อการค้าต่างๆตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านสามารถทำการแชร์และแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้อ่านได้โดยสะดวกทั่วกัน
โดยที่ซีรี่ส์บทความ “ถอดรหัสเซียนหุ้น กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์” ในครั้งนี้นั้น เกิดขึ้นเนื่องจากผมเองได้พบว่ามีนักแปลและสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ได้นำเอางานแปลของผมไปดัดแปลงเพื่อทำประโยชน์ทางการค้าโดยมิได้ขออนุญาติกับผมก่อน ตามรายละเอียดในลิงค์นี้
คำชี้แจงเกี่ยวกับหนังสือ How to Trade in Stocks ของ Jesse Livermore ที่ผมเคยได้แปลไว้…
Publiée par แมงเม่าคลับ แบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น sur Jeudi 20 juin 2019
Update : เรื่องการโดนนำเนื้อหาการแปลหนังสือ How to Trade in Stocks ที่ผมได้เคยแปลไว้ไปดัดแปลงพิมพ์จำหน่าย…
Publiée par แมงเม่าคลับ แบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น sur Mardi 9 juillet 2019
ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะนำงานแปลต้นฉบับของผมทั้งหมดลงไว้ในเว็บไซต์แมงเม่าคลับแห่งนี้ เพื่อเป็นการส่งมอบความรู้ให้กับทุกท่านโดยสาธารณะ (แต่ขออนุญาติสงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผมก่อนนะครับ)
หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่านครับ :D
ถอดรหัสเซียนหุ้น กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์ – บทที่ 8 : กุญแจแห่งตลาดหุ้น
ผมได้อุทิศเวลาที่ผ่านมาทั้งชีวิตให้กับการเก็งกำไรก่อนจะได้พบกับความจริงที่ว่า มันไม่เคยจะมีสิ่งใดที่เป็นสิ่งใหม่เกิดขึ้นเลยในตลาดหุ้น พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาในรูปแบบต่างๆนั้นล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาทั้งสิ้น และถึงแม้ว่ามันจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปบ้างแต่รูปแบบการเคลื่อนไหวโดยทั่วๆไปของพวกมันก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
อย่างที่ผมได้เคยกล่าวไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนกับผมอยู่เสมอในการที่จะจดบันทึกถึงสิ่งต่างๆซึ่งอาจนำไปสู่เบาะแสเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นออกมา มันเป็นสิ่งที่ผมเริ่มทำมาจากความสนุกเล็กๆน้อยๆ แต่หลังจากนั้นผมก็ได้ใช้พยายามอย่างหนักในการหาจุดตั้งต้นเพื่อนำไปสู่การคาดการณ์ต่อการเคลื่อนไหวของตลาดขึ้นมาและแน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
ในทุกวันนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใดความพยายามในตอนต้นๆของผมจึงไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีออกมาสักเท่าไหร่นัก นั่นก็เพราะในขณะนั้นจิตใจของผมจดจ่ออยู่กับเพียงการเก็งกำไรในระยะสั้นๆเท่านั้น ผมพยายามที่จะคิดค้นแต่แผนการซื้อขายเข้าๆออกๆในตลาดอยู่ตลอดเวลาเพียงเพื่อที่จะทำกำไรในระยะสั้นออกมาให้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปผมก็เริ่มตระหนักได้ถึงความจริงในข้อนี้
หลังจากนั้นผมก็ยังคงทำการจดบันทึกราคาหุ้นอยู่เสมอมา ผมมั่นใจว่ามันคือสิ่งที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงขึ้นมาในภายหลังซึ่งขอแต่เพียงให้ผมได้ค้นพบมันก็เท่านั้น และต่อมาไม่นานนักความลับของมันก็ได้ถูกเปิดเผยออกมา บันทึกราคาหุ้นได้บอกกับผมอย่างชัดเจนว่ามันไม่สามารถที่จะช่วยอะไรผมได้เลยสำหรับการเคลื่อนไหวในระยะสั้นๆของตลาด แต่หากว่าผมรู้จักสังเกตขึ้นอีกนิด ผมก็จะเห็นได้ถึงรูปแบบการเคลื่อนไหวที่จะช่วยในการคาดการณ์ถึงการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในอนาคตออกมาได้
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะมองข้ามการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆทั้งหมดไป
ด้วยความพยายามศึกษาค้นคว้าจากสมุดบันทึกเก่าๆของผมอย่างต่อเนื่องนั้น มันทำให้ผมตระหนักขึ้นได้ว่า องค์ประกอบทางด้านของจังหวะเวลาเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นต่อการวิเคราะห์ถึงการเคลื่อนไหวที่สำคัญในครั้งต่อๆไปเป็นอย่างยิ่ง และด้วยแรงกระตุ้นใหม่ๆซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ผมได้เพ่งความสนใจไปยังสิ่งเหล่านี้ นั่นทำให้สิ่งที่ผมต้องการที่จะค้นพบเป็นสิ่งต่อไปก็คือการล่วงรู้ให้ได้ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดการกระเหวี่ยงขึ้นลงของราคาหุ้น แต่ผมก็ได้พบว่าถึงแม้ตลาดจะมีแนวโน้มที่ชัดเจน มันก็ยังคงเกิดการกระเพื่อมขึ้นลงไปมาอยู่หลายต่อหลายครั้ง พวกมันเป็นเรื่องที่น่าสับสนเอาอย่างมากและมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะสนใจอีกต่อไป ในเวลาต่อมานั้น ผมก็เริ่มต้องการที่จะค้นพบให้ได้ว่าอะไรที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นเกิดการพักตัวหรือการวิ่งขึ้นไปในแนวโน้มใหญ่ ผมจึงเริ่มกลับไปตรวจสอบถึงระยะทางการเคลื่อนไหวของพวกมันออกมา โดยในช่วงแรกๆนั้น ผมได้ทำการคำนวณโดยการนับระยะทีละหนึ่งเหรียญ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก ผมจึงเปลี่ยการคำนวณขึ้นไปเป็นระยะสองเหรียญและลองค่อยๆขยายไปเรื่อยๆ จนในที่สุดแล้วผมก็ได้ค้นพบถึงระยะในการคำนวณที่ผมเชื่อว่ามันน่าจะแสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคาหุ้นชึ้นมานั่นเอง
เพื่อที่จะให้คุณเห็นภาพได้อย่างง่ายขึ้น ผมจึงได้จัดพิมพ์ตารางบันทึกราคาหุ้นเป็นพิเศษเพื่อการนี้ขึ้นมา พวกมันได้ถูกแบ่งบรรทัดเป็นแถวๆในแนวตั้งอย่างชัดเจน และมันก็ได้ถูกจัดทำเพื่อเอื้อต่อสิ่งที่ผมเรียกมันว่า “แผนที่สำหรับการพยากรณ์การเคลื่อนไหวในอนาคต” (Map for Anticipating Future Movements) โดยสำหรับหุ้นแต่ละตัวนั้นผมได้จัดทำตารางออกเป็นแถวๆในแนวตั้งทั้งหมดหกช่อง โดยจะทำการบันทึกราคาของมันลงไปในแต่ละช่องตามสภาวะที่เกิดขึ้นกับมัน นอกจากนี้แล้ว ในแต่ละช่องก็ยังได้เขียนหัวข้อเอาไว้อย่างชัดเจนดังนี้
ในช่องแรกคือหัวข้อ “การฟื้นตัวครั้งที่สอง” (Secondary Rally)
ในช่องที่สองคือหัวข้อ “การฟื้นตัวตามปกติ” (Natural Rally)
ในช่องที่สามคือหัวข้อที่ “แนวโน้มขาขึ้น” (Upward Trend)
ในช่องที่สี่คือหัวข้อ “แนวโน้มขาลง” (Downward Trend)
ในช่องที่ห้าคือหัวข้อ “การพักตัวตามปกติ” (Natural Reaction)
และในช่องที่หกก็คือหัวข้อ“การพักตัวครั้งที่สอง” (Secondary Reaction) นั่นเอง
เมื่อเราทำการบันทึกราคาลงไปในช่องแนวโน้มขาขึ้นนั้นผมจะเขียนมันลงไปด้วยหมึกสีดำ ส่วนในอีกสองช่องถัดไปทางซ้ายผมจะทำการเขียนมันลงไปด้วยดินสอ โดยเมื่อเราทำการบันทึกราคาลงไปในช่องแนวโน้มขาลงเราก็จะเขียนมันลงไปด้วยหมึกสีแดง ส่วนในอีกสองช่องถัดไปทางขวานั้นพวกมันจะถูกเขียนมันลงไปด้วยดินสอเช่นเดียวกัน
ดังนั้นแล้ว เมื่อเราจะทำการจดบันทึกราคาลงไปไม่ว่าในช่องแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงเราจะใช้แต่ปากกาหมึกสีเท่านั้น นั่นเพราะผมต้องการที่จะเน้นย้ำให้เห็นถึงแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น นอกจากนี้แล้วตัวเลขที่ได้เขียนลงไปด้วยหมึกที่มีสีแตกต่างกันก็จะมีผลช่วยให้เรามองเห็นมันได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยหมึกสีแดงหรือสีดำที่ได้เขียนลงไปอย่างสม่ำเสมอนั้นก็จะช่วยบอกเรื่องราวต่างๆโดยไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมานั่นเอง
โดยเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมยังคงใช้ดินสอในการเขียนบันทึกอยู่นั้น ผมก็จะตระหนักได้ว่าผมกำลังจดสิ่งที่เป็นเพียงการแกว่งตัวไปตามปกติของมัน (สำหรับตีพิมพ์ตารางบันทึกราคาของผมนั้นขอให้จำไว้ให้ดีว่า ราคาที่ถูกบันทึกเป็นสีฟ้าก็คือราคาที่ผมได้เขียนลงไปด้วยดินสอนั่นเอง)
ผมได้ตั้งกฎเอาไว้ว่าสำหรับหุ้นที่ถูกซื้อขายกันอยู่แถวๆราคา $30 หรือมากกว่านั้น พวกมันจำเป็นต้องเกิดการพักตัวหรือฟื้นตัวขึ้นมาจากจุดวกกลับของมันเป็นระยะประมาณหกเหรียญก่อนที่ผมจะยอมรับได้ว่าการพักตัวหรือฟื้นตัวตามปกตินั้นกำลังเกิดขึ้นมา อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวหรือพักตัวที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีความหมายว่าแนวโน้มของตลาดได้เปลี่ยนแปลงไป มันเพียงแต่บ่งชี้ให้เราได้ทราบว่าตลาดกำลังเข้าสู่การเคลื่อนไหวที่ต้องเกิดขึ้นตามปกติของมันเท่านั้น แนวโน้มที่เกิดขึ้นนั้นยังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนดังก่อนที่การพักตัวหรือฟื้นตัวจะได้เกิดขึ้นมา
ผมขอทำความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ผมไม่ได้นำเอาพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมาเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในกลุ่มอุตสาหกรรมของพวกมัน แต่ผมจะนำเอาพฤติกรรมของหุ้นสองตัวหลักๆในกลุ่มของมันเข้ามาพิจารณาร่วมกันก่อนที่ผมจะยอมรับได้ว่าแนวโน้มในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างชัดเจน มันคือสิ่งที่เรียกว่า “จุดหักเห” หรือ “Key Price” ซึ่งเกิดจาการนำเอาราคาและการเคลื่อนไหวของหุ้นสองตัวสำคัญในกลุ่มเข้ามาพิจารณาร่วมกันนั่นเอง สิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่ผมค้นพบว่าในบางครั้ง หุ้นบางตัวนั้นอาจเกิดการเคลื่อนไหวที่มากเพียงพอที่จะทำให้ผมต้องจดบันทึกมันลงไปในช่องของแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง อย่างไรก็ตาม มันมีความเสี่ยงที่คุณจะโดนหลอกอย่างมากจากการพิจารณาถึงพฤติกรรมของหุ้นเพียงตัวเดียวโดดๆ และการพิจารณาถึงการเคลื่อนไหวของหุ้นสองตัวร่วมกันนั้นก็จะช่วยเป็นหลักประกันให้กับคุณได้ดีขึ้นพอสมควรเลยทีเดียว ดังนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มใหญ่ที่มีนัยยะสำคัญจึงควรต้องถูกยืนยันจากพฤติกรรมของจุดหักเหที่เรียกว่า Key Price นั่นเอง
ผมจะขออธิบายหลักการของ Key Price ให้คุณได้เข้าใจกันต่อไปโดยจะยึดเอาระยะการเคลื่อนไหวที่หกเหรียญเป็นพื้นฐานเอาไว้ คุณจะสังเกตได้จากบันทึกในลำดับต่อๆไปของผมว่า ในขณะที่ผมได้ทำการจดบันทึกราคาของหุ้น U.S Steel อยู่นั้น สมมุติว่าราคาของมันมีระยะการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 5⅛ เหรียญ พร้อมกันนั้นคุณพบว่าหุ้น Bethlehem Steel ก็มีระยะการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกันที่ 7 เหรียญด้วยเช่นกัน เราจะนำระยะการเคลื่อนไหวของหุ้นทั้งสองตัวมาคำนวณร่วมกันเพื่อหา Key Price ออกมา ดังนั้นแล้ว ระยะที่จะทำให้เกิด Key Price ขึ้นมาได้ ก็คือระยะ 12 เหรียญนั่นเอง
หลังจากนั้นเมื่อจุดสำคัญของมันซึ่งก็คือระยะการเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยของหุ้นสองตัวที่หกเหรียญได้เกิดขึ้นแล้ว ผมจะยังคงทำการจดบันทึกราคาที่สูงหรือต่ำที่สุดต่อไป โดยผมจะทำการจดบันทึกมันลงไปเมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาของมันนั้นสูงกว่าราคาที่เคยบันทึกเอาไว้ในช่อง Upward Trend หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาของมันต่ำกว่าราคาที่เคยบันทึกเอาไว้ในช่อง Downward Trend และผมเองจะทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะเกิดการวกกลับของราคาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งสำหรับการเคลื่อนไหววกกลับในทิศทางที่ตรงกันข้ามนั้นก็จะถูกอ้างอิงจากระยะการเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยที่หกเหรียญหรือคิดเป็นระยะการเคลื่อนไหวของ Key Price ที่ 12 เหรียญด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นเป็นต้นไป คุณจะพบว่าผมจะไม่เปลี่ยนแปลงการคำนวณจากจุดอ้างอิงนี้อีกเลย และผมจะไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้นถึงแม้ว่าผลการคำนวณจะออกมาไม่ตรงกับสิ่งที่ผมได้คาดหวังเอาไว้ ขอให้คุณจำเอาไว้ให้ดีว่ากรอบของราคาที่ผมได้ทำการจดบันทึกลงไปนั้นไม่ใช่ราคาที่ผมคิดขึ้นมาเอง พวกมันถูกพิจารณาจากราคาที่เกิดขึ้นจริงๆตั้งแต่วันแรกที่เราได้เริ่มต้นทำการจดบันทึกมันเอาไว้
อย่างไรก็ตามมันคงจะเป็นการโอ้อวดเกินไปสำหรับผมที่จะกล่าวว่า ผมนั้นสามารถที่จะล่วงรู้ได้ว่า ณ จุดไหนเวลาใดจะเป็นจุดที่ผมจะใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการจดบันทึกราคาหุ้นเป็นครั้งแรกอย่างแม่นยำ มันคงเป็นสิ่งที่หลอกลวงและไร้ความจริงใจที่ผมจะกล่าวเช่นนั้น ผมเองสามารถที่จะพูดได้เพียงว่าหลังจากที่ผมได้ทำการสังเกตและตรวจสอบถึงสิ่งต่างๆในตลาดมาเป็นเวลาหลายปีนั้น ผมยังคงเพียงสามารถที่จะรู้ได้จากการประมาณการณ์เอาว่า ณ จุดไหนเวลาใดที่ผมจะสามารถใช้มันเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการจดบันทึกเพียงได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม สมุดบันทึกราคาหุ้นที่ได้ถูกจัดทำขึ้นมาในหนังสือเล่มนี้นั้นก็ยังคงสามารถที่จะช่วยให้เรามองเห็นแผนที่ที่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาถึงการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญๆที่จะเกิดขึ้นมาอยู่เช่นเดิม
มีสุภาษิตบทหนึ่งได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ความสำเร็จมักเกิดขึ้นในวินาทีของการตัดสินใจ”
และเช่นเดียวกันนี้เอง ความสำเร็จในการเก็งกำไรก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของคุณที่จะทำในสิ่งที่เหมาะสมเมื่อสมุดบันทึกของคุณได้บอกกับคุณให้ทำเช่นนั้น มันไม่มีพื้นที่สำหรับความลังเลใจใดๆทั้งสิ้น คุณจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนจิตใจของคุณไปตามวิถีทางเหล่านี้ หากคุณพยายามที่จะรอคอยคำอธิบายและเหตุผลหรือแม้กระทั่งความมั่นใจจากใครบางคนแล้ว วินาทีทองของคุณก็จะหลุดลอยออกไปอย่างแน่นอน
ผมขอยกตัวอย่างเช่นว่า หลังจากที่ตลาดหุ้นได้วิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีการประกาศภาวะสงครามในทวีปยุโรปขึ้นนั้น หุ้นทุกตัวต่างได้รับผลกระทบของจากการประกาศสงครามและส่งผลให้เกิดการพักตัวตามธรรมชาติขึ้นทั่วทั้งตลาด แต่หลังจากนั้นนักไม่นานหุ้นทุกตัวที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นทั้งสี่กลุ่มก็ได้ฟื้นตัวขึ้นมาและถูกซื้อขายกันที่จุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง จะยกเว้นก็แต่เพียงหุ้นบางตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กเพียงเท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลานั้นเอง ใครก็ตามที่ได้ทำการจดบันทึกการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในลักษณะเดียวกับผมอยู่ ย่อมจะต้องเกิดความสงสัยและเพ่งความสนใจไปยังพฤติกรรมของหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กอย่างแน่นอน ความจริงแล้วสำหรับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้น มันก็มีเหตุผลเบื้องหลังที่ชัดเจนของมันอยู่! แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่อาจรู้ได้ในขณะนั้น และผมเองก็สงสัยเป็นอย่างมากว่าจะมีใครสักคนไหมที่จะสามารถให้คำอธิบายที่มีเหตุมีผลกับผมได้บ้าง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นผมเองเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ทำการจดบันทึกการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ย่อมต้องสามารถที่จะตระหนักได้จากพฤติกรรมของหุ้นต่างๆในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กว่าการเคลื่อนไหวในขาขึ้นของพวกมันได้จบลงเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในขณะนั้นเหตุผลของพวกมันก็ยังคงเป็นสิ่งที่คลุมเครืออยู่เช่นเดิม จนในที่สุดแล้วในกลางเดือนมกราคมปี ค.ศ. 1940 หรืออีกสี่เดือนต่อมา บรรดาสาธารณะชนก็ได้ล่วงรู้ถึงความจริงที่เกิดขึ้น และในที่สุดแล้วพฤติกรรมของหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กก็ได้ถูกอธิบายออกมา นั่นเพราะในขณะนั้นได้มีการประกาศออกมาว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมารัฐบาลอังกฤษได้มีการขายหุ้นของ U.S. Steel ออกมาเป็นจำนวนกว่า 100,000 หุ้น นอกจากนี้แล้วรัฐบาลของแคนนาดาก็ยังขายมันตามออกมาถึง 20,000 หุ้นอีกด้วย โดยในขณะที่ได้มีการประกาศความจริงออกมานั้น ราคาของหุ้น U.S. Steel ก็ได้ร่วงลงมาถึง 26 เหรียญจากจุดสูงสุดเดิมในเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1939 เรียบร้อยแล้ว ส่วนราคาของหุ้น Bethlehem Steel ก็ได้ร่วงลงมากว่า 29 เหรียญด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ราคาของหุ้นที่อยู่ในอีกสามอุตสาหกรรมหลักๆนั้นได้ตกลงมาเพียง 2½ เหรียญถึง 12¾ เหรียญจากจุดสูงสุดเดิมที่ได้ทำเอาไว้ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กได้ทำราคาสูงสุดของพวกมันเอาไว้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ช่วยพิสูจน์ถึงความโง่เขลาในการพยายามที่จะค้นหาถึง “เหตุผลที่ดี” มารองรับก่อนที่คุณจะเข้าซื้อหรือขายหุ้นได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากหากคุณมัวแต่เฝ้ารอคอยจนเหตุผลของมันได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว คุณก็มักจะต้องพลาดโอกาสทองที่จะได้ทำสิ่งต่างๆในช่วงเวลาที่เหมาะสมของมันไป!
เหตุผลเดียวที่นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรควรจะต้องการเห็นต่อหน้าของเขาก็คือพฤติกรรมของตลาดเพียงเท่านั้น และเมื่อไหร่ก็ตามที่ตลาดไม่ทำตัวอย่างถูกต้องหรือทำตัวอย่างที่มันควรจะเป็นไป นั่นก็คือเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่คุณจะเปลี่ยนแปลงความเห็นของคุณอย่างรวดเร็ว
จงจำไว้ให้ดีว่า มันยังคงจะมีเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสำหรับพฤติกรรมของหุ้นแต่ละตัวเสมอ และผมขอให้คุณจำเอาไว้อีกด้วยว่า ความน่าจะเป็นที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ คุณก็มักที่จะไม่สามารถล่วงรู้ถึงเหตุผลเหล่านั้นได้จนกว่าจะถึงช่วงเวลาต่อไปในอนาคต ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้น มันก็มักจะสายเกินไปเสียแล้วที่คุณจะสามารถทำสิ่งต่างๆให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงที่สุดนั่นเอง
ผมจะขอกล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า หลักการของผมนั้นไม่สามารถที่จะบอกกับคุณได้ว่า ณ ระดับราคาใดที่คุณจะสามารถเข้าทำการซื้อหรือขายหุ้นจากการแกว่งตัวในระยะสั้นๆที่มักเกิดขึ้นในระหว่างการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของมันได้ เนื่องจากจุดประสงค์ของมันเกิดขึ้นเพื่อจับเอาการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่มีนัยสำคัญของตลาดออกมาและก็เพื่อที่จะช่วยให้คุณสามารถระบุถึงจุดเริ่มต้นและจุดจบของการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญได้นั่นเอง และด้วยเหตุผลนี้เอง คุณจะพบว่าวิธีการเช่นนี้จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อคุณได้นำมันไปใช้ด้วยความศรัทธาเพียงเท่านั้น นอกจากนี้แล้วผมก็ยังอยากที่จะกล่าวย้ำอีกด้วยว่า วิธีการนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายกันอย่างหนาแน่นรวมถึงถูกซื้อขายกันในราคาที่มากกว่า 30 เหรียญขึ้นไปเท่านั้น และถึงแม้ว่าหลักการพื้นฐานของมันจะถูกนำมาใช้เพื่อคาดการณ์ถึงพฤติกรรมของหุ้นทุกๆตัวได้ แต่คุณก็จำเป็นที่จะต้องทำการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างเมื่อนำไปปรับใช้กับหุ้นที่มีราคาต่ำมากๆด้วยเช่นกัน
คุณจะเห็นได้ว่าวิธีการเหล่านี้ไม่ได้มีความซับซ้อนในตัวของมันแต่อย่างใดเลย พวกมันสามารถที่จะถูกซึมซับได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายจากผู้ที่มีความสนใจอย่างแท้จริง
สำหรับในบทต่อไปนั้น จะเป็นการนำเอาสิ่งที่ผมได้จดบันทึกไว้จริงๆออกมาแสดงให้เห็นพร้อมด้วยคำอธิบายถึงตัวเลขที่ผมได้จดบันทึกลงไปอย่างละเอียดอีกครั้ง
เฉกเช่นเดียวกันนี้เอง ถึงแม้ว่ามันอาจมีเงินที่หามาได้ง่ายๆอยู่รอบตัวเราจริงๆก็ตาม แต่มันก็คงไม่มีใครที่คิดจะนำมันมายัดใส่กระเป๋าของคุณอย่างแน่นอน
จบบทที่ 8 รอติดตามบทที่ 9 ได้ในบทความต่อไปเร็วๆนี้ หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถ Comment เพื่อสอบถามและพูดคุยกับผมได้เลยนะครับผม