fbpx
ถอดรหัสเซียนหุ้น กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์

ถอดรหัสเซียนหุ้น กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์ – บทที่ 6 : ความผิดพลาดราคาหนึ่งล้านดอลลาร์

Google+ Pinterest LinkedIn Tumblr

เกริ่นนำ

หนังสือ “ถอดรหัสเซียนหุ้น : กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์” เล่มนี้นั้น แปลจากต้นฉบับหนังสือ How to trade in stocks by Jesse L. Livermore Duel, Sloan & Pearce, 1940 Original โดยที่ผม มนสิช จันทนปุ่ม (มด แมงเม่าคลับ) ขออนุญาติสงวนลิขสิทธิ์ในการดัดแปลงแก้ไข และใช้งานเพื่อการค้าต่างๆตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านสามารถทำการแชร์และแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้อ่านได้โดยสะดวกทั่วกัน

โดยที่ซีรี่ส์บทความ “ถอดรหัสเซียนหุ้น กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์” ในครั้งนี้นั้น เกิดขึ้นเนื่องจากผมเองได้พบว่ามีนักแปลและสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ได้นำเอางานแปลของผมไปดัดแปลงเพื่อทำประโยชน์ทางการค้าโดยมิได้ขออนุญาติกับผมก่อน ตามรายละเอียดในลิงค์นี้

คำชี้แจงเกี่ยวกับหนังสือ How to Trade in Stocks ของ Jesse Livermore ที่ผมเคยได้แปลไว้…

Publiée par แมงเม่าคลับ แบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น sur Jeudi 20 juin 2019

 

Update : เรื่องการโดนนำเนื้อหาการแปลหนังสือ How to Trade in Stocks ที่ผมได้เคยแปลไว้ไปดัดแปลงพิมพ์จำหน่าย…

Publiée par แมงเม่าคลับ แบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น sur Mardi 9 juillet 2019

ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะนำงานแปลต้นฉบับของผมทั้งหมดลงไว้ในเว็บไซต์แมงเม่าคลับแห่งนี้ เพื่อเป็นการส่งมอบความรู้ให้กับทุกท่านโดยสาธารณะ (แต่ขออนุญาติสงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผมก่อนนะครับ)

หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่านครับ :D

บทที่ 6 : ความผิดพลาดราคาหนึ่งล้านดอลลาร์

มันเป็นความตั้งใจของผมเองที่จะกล่าวถึงหลักพื้นฐานของการเก็งกำไรเอาไว้ในบทนี้ ซึ่งผมจะได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกฎของการนำเอาองค์ประกอบทางด้านของจังหวะเวลาและราคาหุ้นมาประยุกต์ใช้ร่วมกันโดยละเอียดในภายหลัง

เมื่อพิจารณาถึงหลักพื้นฐานของการเก็งกำไรโดยทั่วๆไปนั้น เราสามารถที่จะกล่าวได้ว่ามีนักเก็งกำไรอยู่มากมายที่มักทำการซื้อขายอย่างหุนหันพลันแล่นด้วยการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดที่ราคาเดียวในทันที นี่ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดและอันตรายอย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่น หากสมมุติว่าคุณต้องการที่จะเข้าซื้อหุ้นทั้งหมด 500 หุ้น คุณควรที่จะเริ่มต้นเข้าซื้อในครั้งแรกก่อนเพียง 100 หุ้นเท่านั้น โดยหลังจากนั้นหากว่าตลาดยังคงวิ่งต่อขึ้นไปอีก คุณจึงจะค่อยๆทยอยเข้าซื้อเพิ่มอีกคราวละ 100 หุ้นไปเรื่อยๆ แต่มันต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าการทยอยซื้อในลำดับต่อๆไปนั้นจะต้องเป็นราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิมเพียงเท่านั้น

คุณเองควรที่จะใช้กฎข้อนี้ในการขายชอร์ทหุ้นเช่นเดียวกัน จงอย่าดึงดันขายหุ้นเพิ่มอีกจนกว่าที่ราคาของมันจะตกลงไปต่ำกว่าเดิม โดยเมื่อคุณได้ทำตามกฎนี้อย่างเคร่งครัด มันก็จะทำให้คุณสามารถก้าวเข้าไปอยู่ถูกที่ถูกเวลาได้มากกว่าวิธีการอื่นที่ผมเคยรู้จัก โดยเหตุผลเบื้องหลังของขั้นตอนทั้งหลายเหล่านี้ก็เพื่อจะทำให้หุ้นทุกตัวที่คุณถืออยู่นั้นมีกำไรอยู่ตลอดเวลา เพราะกำไรที่คุณมีก็คือหลักฐานที่ชัดเจนแล้วว่าคุณกำลังเดินไปถูกทางแล้วนั่นเอง

ภายใต้หลักการเก็งกำไรของผมนั้น ในขั้นแรกคุณจะต้องเริ่มต้นด้วยการประเมินถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง และขั้นตอนที่สำคัญต่อไปก็คือการพิจารณาว่าที่ระดับราคาใดที่คุณจึงควรจะกระโจนลงไปในตลาด คุณจำเป็นที่จะต้องศึกษามันจากสมุดบันทึกของคุณ รวมถึงพยายามวิเคราะห์ว่าพฤติกรรมการเคลื่อนไหวในอาทิตย์ที่ผ่านๆมาของมันเป็นเช่นไรอย่างระมัดระวัง โดยเมื่อหุ้นที่คุณสนใจได้เคลื่อนไปถึงจุดที่คุณได้พิจารณาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่ามันคือระดับราคาที่ราคาหุ้นควรจะต้องวิ่งไปถึงเสียก่อนหากว่ามันต้องการที่จะเริ่มต้นการเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างจริงจัง นั่นก็คือช่วงเวลาที่คุณควรจะเริ่มต้นทำบางอย่างลงไปในตลาดนั่นเอง

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณได้ตัดสินใจที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับมันแล้ว คุณต้องตัดสินใจอย่างชัดเจนถึงจำนวนเงินที่คุณจะยอมสูญเสียไปหากว่าการคาดการณ์ของคุณนั้นเกิดความผิดพลาดขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะพบว่าหลังจากที่คุณได้ตัดสินใจนำหลักการข้อนี้ไปใช้แล้วสองถึงสามครั้งแต่คุณก็ยังต้องพบกับการขาดทุนขึ้นมา แต่ผมขอให้คุณจงยึดมั่นในหลักการข้อนี้เอาไว้และไม่พลาดโอกาสที่จะกลับเข้าไปในตลาดอีกครั้งเมื่อราคาหุ้นได้วิ่งไปสู่จุดหมุนของมันอยู่เสมอ นี่จะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้คุณมีหุ้นตัวนั้นอยู่เมื่อการเคลื่อนไหวที่แท้จริงนั้นมาถึงและมันก็จะช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสที่งดงามไป

จงจำไว้ให้ดีว่าจังหวะเวลายังคงเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่เสมอ และความไม่รู้จักอดทนอดกลั้นนั้นย่อมต้องมีต้นทุนของตัวมันเอง

ผมจะเล่าให้คุณฟังว่าผมได้พลาดโอกาสทำกำไรถึงหนึ่งล้านเหรียญไปจากความไม่อดทนอดกลั้นและการไม่ใส่ใจต่อจังหวะเวลาไปได้อย่างไร นี่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ผมอยากจะเบือนหน้าหนีไปด้วยความละอายเมื่อต้องเล่ามันออกมาเลยทีเดียว เรื่องก็คือเมื่อหลายปีมาก่อนนั้นผมรู้สึกว่าตลาดฝ้าย (Cotton) กำลังจะกลายเป็นตลาดกระทิงในไม่ช้า ผมมีความเห็นอย่างชัดเจนว่าราคาของฝ้ายนั้นกำลังที่จะวิ่งขึ้นไปอย่างมากมาย แต่แล้วก็อย่างที่มันมักจะเกิดขึ้น หลังจากที่ผมได้เข้าซื้อไปตลาดนั้นกลับยังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นการเคลื่อนไหวของมันขึ้น ซึ่งความจริงแล้วมันก็ยังไม่พร้อมมาตั้งแต่ที่ผมได้ข้อสรุปอยู่ในใจหรือจนกระทั่งที่ผมได้แหย่จมูกลงไปในตลาดเรียบร้อยแล้ว

ผมเองเริ่มเข้าไปข้องเกี่ยวกับมันเป็นครั้งแรกด้วยการเข้าซื้อที่ราคาตลาด (คำสั่ง at the market) เป็นจำนวน 20,000 กระสอบ โดยที่คำสั่งซื้อของผมถึงกับทำให้ตลาดที่เงียบเหงาวิ่งขึ้นไปมากว่าสิบห้าจุดเลยทีเดียว แต่ต่อมาหลังจากที่คำสั่ง 100 กระสอบสุดท้ายของผมได้ถูกจับคู่เรียบร้อยแล้ว ตลาดก็ได้ไหลกลับไปยังราคาเดิมที่ผมได้เริ่มเข้าซื้อภายในเวลาแค่เพียงยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่านั้น และมันก็ได้หลับไหลอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานหลายวันจนผมต้องตัดสินใจตัดขาดทุนออกมา ผมขายมันออกไปด้วยความเจ็บใจจากการขาดทุนเป็นเงินถึง 30,000 เหรียญเมื่อรวมกับค่าคอมมิสชั่น ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว คำสั่งขาย 100 กระสอบสุดท้ายของผมยังถูกขายที่ราคาที่ต่ำที่สุดของรอบนั้นอีกด้วย

ไม่กี่วันต่อมาตลาดก็เริ่มที่จะดึงดูดความสนใจของผมขึ้นอีกครั้ง ผมนั้นไม่สามารถที่จะเพิกเฉยกับมันได้เพราะผมยังคงเชื่อมั่นว่ามันกำลังจะวิ่งขึ้นไปอีกมากมายอยู่เช่นเดิม ดังนั้นผมจึงได้กลับเข้าไปซื้อมันอีกครั้งหนึ่งเป็นจำนวน 20,000 กระสอบ แต่สิ่งเดิมๆก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ตลาดพุ่งขึ้นไปจากคำสั่งซื้อของผมแต่หลังจากนั้นมันก็ร่วงหล่นกระแทกลงมา การได้แต่เฝ้ารอนั้นรบกวนจิตใจของผมเป็นอย่างมาก นี่จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมขายมันทิ้งออกมาและคำสั่งขายในล็อตสุดท้ายของผมก็กลายเป็นราคาที่ต่ำที่สุดอีกเช่นเดิม

จากการที่ผมได้ทำแบบนี้ซ้ำๆถึงห้าครั้งในเวลาแค่เพียงหกสัปดาห์นั้น มันทำให้ผมต้องขาดทุนในแต่ละครั้งไปราวๆ $25,000 ถึง $30,000 เหรียญเลยทีเดียว ผมเริ่มที่จะสะอิดสะเอียนกับตัวของผมเองเป็นอย่างมาก ในขณะนั้นผมได้สูญเสียเงินไปเกือบ $200,000 โดยที่ไม่ทำให้เกิดความพึงพอใจใดๆขึ้นมาเลย ดังนั้นผมจึงได้ออกคำสั่งให้ผู้จัดการส่วนตัวของผมนำตัวแสดงราคาของตลาดฝ้ายออกไปก่อนที่ผมจะมาถึงในเช้าวันถัดไปเพราะผมไม่ต้องการที่จะเห็นมันอยู่ล่อตาล่อใจของผมอีกต่อไปแล้ว มันทำให้ผมหดหู่มากจนเกินไป และอารมณ์หงุดหงิดก็คือสิ่งที่ขัดขวางความคิดที่กระจ่างใสซึ่งถือเป็นสิ่งที่จำเป็นในการเก็งกำไรอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นน่ะหรือ?

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหลังจากที่ผมเลิกสนใจตลาดฝ้ายและได้นำราคาของมันออกไปเพียงแค่สองวัน ตลาดก็เริ่มวิ่งขึ้นมาอีกครั้งและมันก็ไม่เคยที่จะหยุดนิ่งเลยจนมันได้วิ่งไปไกลกว่า 500 จุด ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ในช่วงเวลาที่มันได้วิ่งขึ้นมาอย่างยาวไกลนั้น มันยังได้เกิดการพักตัวลงมาเพียงแค่ครั้งเดียวซึ่งกินระยะทางเพียงแค่ 40 จุดเท่านั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ผมพลาดโอกาสที่น่าสนใจที่สุดครั้งหนึ่งในตลาดไป มันยังหมายถึงการเก็งกำไรที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยคาดการณ์ถูกต้องด้วยเช่นกัน ซึ่งเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของความผิดพลาดในคราวนี้นั้นมีอยู่สองประการ ประการแรกก็คือ ผมขาดความอดกลั้นที่จะเฝ้ารอคอยให้ราคาและช่วงเวลาที่เหมาะสมมาถึงเสียก่อนที่ผมจะเริ่มต้นการซื้อขายในคราวนั้น ผมเองรู้ดีว่าหากราคาของฝ้ายได้ถูกซื้อขายกันขึ้นไปที่ 12½ เซนต์ต่อปอนด์ มันก็จะทำให้ราคาฝ้ายนั้นวิ่งขึ้นต่อไปเรื่อยๆอีกมากมาย

แต่ไม่! ผมกลับไม่มีความมุ่งมั่นเพียงพอที่จะเฝ้ารอคอยให้เวลานั้นมาถึงเสียก่อน ผมดันหลงคิดไปว่าผมควรได้กำไรเล็กๆน้อยๆก่อนที่ราคาของฝ้ายจะวิ่งขึ้นมาถึงจุดซื้อตรงนั้น และผมก็ยังดันลงมือทำมันก่อนที่ตลาดจะสุกงอมอีกด้วย นั่นทำให้ไม่เพียงแต่ที่ผมต้องสูญเสียเงินไปราวๆ $200,000 แต่ผมยังกลับต้องสูญเสียโอกาสในการทำกำไรไปถึง $1,000,000 อีกด้วย ซึ่งหากว่าผมได้ทำตามแผนการณ์ซึ่งอยู่ในหัวของผมตั้งแต่แรกด้วยเข้าซื้อฝ้ายเป็นจำนวน 100,000 กระสอบหลังจากที่ราคาได้วิ่งข้ามผ่านจุดหมุนไปแล้ว ผมก็คงจะไม่พลาดในการทำกำไรถึง 200 จุดหรือมากกว่านั้นไป

สำหรับเหตุผลประการที่สองก็คือ ผมปล่อยให้ตัวของผมรู้สึกโกรธและเจ็บปวดกับตลาดฝ้ายเพียงเพราะผมได้เคยสูญเสียวินัยและตัดสินใจแย่ๆลงไปในตลาด เพราะผลการขาดทุนของผมนั้นก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากการขาดความอดทนอดกลั้นในการที่จะเฝ้ารอคอยให้ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมของตลาดก่อนที่จะทำการซื้อขายลงไปตามแผนการณ์ที่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อนทั้งสิ้น

ผมยังได้เรียนรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้มานานแล้วว่า จงอย่าพยายามหาข้อแก้ตัวใดๆเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแต่จงยอมรับและใช้มันให้เกิดประโยชน์เสีย ความจริงแล้วพวกเราทุกคนย่อมรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เราได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไป ยิ่งไปกว่านั้นแล้วตลาดยังจะคอยบอกกับนักเก็งกำไรทุกคนๆเมื่อพวกเขาได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไปผ่านการขาดทุนของพวกเขาอยู่เสมอ และเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาสามารถจะตระหนักได้ว่าเขานั้นทำผิดพลาดไปแล้ว นั่นก็คือช่วงเวลาที่เขาควรต้องจัดการกับมันด้วยการตัดขาดทุน, ยิ้มสู้, กลับไปศึกษาสมุดบันทึกราคาหุ้นของเขาเพื่อหาข้อผิดพลาดทีเกิดขึ้นและเฝ้ารอคอยโอกาสครั้งใหญ่ๆในรอบต่อไป พวกมันคือผลลัพธ์ของความเอาใจใส่ที่ถูกบ่มเพาะเป็นเวลาอย่างยาวนานของพวกเขาเอง

ความสามารถในการที่จะตระหนักได้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณได้ทำผิดพลาดลงไปแล้วก่อนที่ตลาดจะบอกกับคุณนั้นจะค่อยๆถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆไปตามกาลเวลา มันคือสัญญาณเตือนภัยที่จะถูกส่งออกมาจากจิตใต้สำนึกของคุณ และมันก็คือสัญญาณที่เกิดขึ้นมาจากความรู้ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาดที่ได้ถูกสะสมมาในอดีตเช่นเดียวกัน เรื่องที่น่าทึ่งก็คือในบางครั้งแล้วมันก็อาจกลายเป็นสิ่งที่คอยชี้นำในการเก็งกำไรของคุณก็เป็นได้ ซึ่งผมจะค่อยๆอธิบายรายละเอียดกับคุณให้มากกว่านี้ในภายหลัง

ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกลายเป็นกระทิงตัวใหญ่เมื่อปลายๆศตวรรษที่ยี่สิบนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมได้ถือหุ้นหลายๆตัวพร้อมกันและได้ถือพวกมันมาเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้ว ในช่วงเวลานั้นผมเองไม่เคยที่จะต้องรู้สึกไม่สบายใจกับหุ้นที่ผมมีอยู่เลยเมื่อการพักตัวตามธรรมชาติของมันมาถึงในแต่ละครั้ง

แต่ภายหลังจากนั้นไม่นานนัก ผมก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาที่เมื่อตลาดปิดลงแล้วผมจะรู้สึกกระวนกระวายใจแปลกๆขึ้นมา ในคืนนั้นเองผมพบว่าการพยายามหลับให้สนิทเป็นเรื่องที่ยากมากๆ มีบางอย่างที่คอยกระตุกให้ผมตื่นขึ้นมาจากภวังค์และทำให้ผมเริ่มคิดถึงสิ่งต่างๆเกี่ยวกับตลาดขึ้นมา มันทำให้ผมกลัวจนเกือบไม่กล้ามองไปที่หน้าหนังสือพิมพ์ในช่วงเช้าของวันถัดไปเป็นอย่างมาก ผมรู้สึกได้ถึงลางร้ายบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า และบางทีแล้วมันก็อาจเกิดจากการที่ผมพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นดูเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ผมก็กลับรู้สึกประหลาดๆโดยไม่สามารถหาสาเหตุออกมาอย่างชัดเจนก็เป็นได้ และถึงแม้ว่าตลาดอาจจะเปิดกระโดดขึ้นมาพร้อมกับพฤติกรรมที่สมบูรณ์ของมันแบบในวันถัดไป หรือมันอาจดูเหมือนว่ามันกำลังอยู่ในจุดสุดยอดของมัน สิ่งที่เกิดขึ้นอาจทำให้ใครหลายๆคนหัวเราะกับสิ่งที่ทำให้เขานอนไม่หลับ แต่สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ผมรู้สึกขำขันและมองข้ามไปได้เลย

ในวันต่อมานั้นไม่มีข่าวสารที่เลวร้ายใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดได้เกิดการกลับตัวอย่างฉับพลันหลังจากที่มันได้วิ่งขึ้นมาอย่างยาวนาน ในวันนั้นผมต้องวุ่นวายอยู่กับการพยายามขายหุ้นเป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะผมต้องเจอกับการแย่งขายหุ้นเป็นจำนวนมากอยู่ตลอดเวลาทั้งๆที่ในวันก่อนหน้านั้นผมสามารถที่จะขายหุ้นทั้งหมดทิ้งไปโดยทำให้ตลาดตกลงไปอย่างมากก็ไม่เกินสองจุดเท่านั้น แต่ใครจะเชื่อว่าในวันนี้มันจะเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากเดิมเสียเหลือเกิน

ผมเองเชื่อว่านักเก็งกำไรหลายๆคนต่างก็ต้องเคยได้พบเจอกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจเช่นนี้ มันมักที่จะส่งสัญญาณเตือนภัยออกมาในขณะที่สภาวะของตลาดนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังที่สวยงาม และนี่ก็เป็นเพียงหนึ่งในเรื่องมหัศจรรย์และน่าประหลาดใจซึ่งค่อยๆถูกพัฒนาขึ้นมาจากการเรียนรู้และการข้องเกี่ยวกับตลาดอย่างยาวนานเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากจะพูดกันตามตรงแล้วผมเองไม่ได้เชื่อถือต่อสัญญาณเตือนภัยที่เกิดขึ้นในจิตใจสักเท่าไหร่และผมยังชอบที่จะนำการคำนวณที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เสียมากกว่าด้วย แต่ในความจริงที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งนั้น ผมมักได้รับประโยชน์เป็นอย่างมากจากการให้ความสนใจไปยังความรู้สึกไม่สบายใจที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับในช่วงเวลาที่ทุกอย่างดูราบรื่นราวกับว่าเรากำลังแล่นเรือไปในทะเลที่เงียบสงบอยู่เสมอ

แสงสว่างที่ช่วยนำทางในการเก็งกำไรลักษณะนี้นั้นมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากความสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่อยู่เบื้องหน้านั้นดูเหมือนจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ที่มีความรู้สึกที่ไวต่อพฤติกรรมของตลาดเพียงเท่านั้น และบุคคลเหล่านี้ก็คือผู้ที่ได้คอยติดตามพฤติกรรมของตลาดด้วยความเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะนำมันมาคาดการณ์ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมานั่นเอง แต่สำหรับผู้ที่ทำการเก็งกำไรกับตลาดด้วยความรู้สึกของเขาเพียงอย่างเดียวแล้ว มันก็เป็นได้เพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความเห็นหรือคำแนะนำในหมู่สาธารณะชนเท่านั้นเอง

พึงระลึกเอาไว้อยู่เสมอว่า จากจำนวนคนเป็นล้านๆคนที่เก็งกำไรอยู่ในตลาดทุกหนแห่งนั้น มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่จะอุทิศตนเพื่อการเก็งกำไรอย่างจริงจัง เพราะสำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้วมันมีความหมายเพียงแค่เรื่องของคำว่าเดาถูกหรือเดาผิดเพียงเท่านั้น และแม้กระทั่งในกลุ่มของนักธุรกิจหรือบรรดาผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพต่างๆที่มีความเฉลียวฉลาดรวมถึงผู้ที่ได้เกษียณออกมาแล้วนั้น การเก็งกำไรก็มักจะเป็นเพียงแค่งานอดิเรกที่พวกเขาให้ความใส่ใจกับมันอย่างน้อยนิดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักที่จะไม่ทำการซื้อขายหุ้นใดๆเลยหากว่าเขาไม่ได้รับข่าวลือเกี่ยวกับหุ้นเด็ดๆจากโบรคเกอร์หรือจากบรรดาลูกค้าของพวกเขาเอง

จากวันนี้ถึงวันต่อๆไปนั้น จะยังคงมีใครอีกหลายต่อหลายคนที่เข้ามาเก็งกำไรเพียงเพราะพวกเขาได้รับข่าววงในจากเพื่อนสนิทในบริษัทยักษ์ใหญ่อยู่เสมอ ผมจะขอยกตัวอย่างสมมติขึ้นมาให้คุณลองนึกตามกันสักหน่อย โดยสมมติว่าคุณนั้นได้พบกับเพื่อนที่อยู่ในบริษัทมหาชนแห่งหนึ่งในงานเลี้ยงอาหารกลางวันหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ในยามราตรี และคุณก็ได้เริ่มที่จะพูดคุยถึงสารทุกข์สุขดิบทั่วๆไปกันสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นคุณก็ได้ถามถึงเรื่องราวของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าธุรกิจของมันก็กำลังไปได้ดีเสียด้วย มิหนำซ้ำแล้วมันก็ยังพึ่งจะฟื้นตัวขึ้นมาจากวิกฤติการณ์ที่ผ่านมาได้ และแน่นอนว่าอนาคตของมันก็ยังดูสดใสเป็นอย่างมาก ใช่แล้ว! นี่นับเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากๆในขณะนั้นเลยทีเดียว

“มันจะเป็นโอกาสซื้อหุ้นที่ดีมากๆอย่างแน่นอนเลยล่ะเพื่อน” เขาอาจตอบกลับมาเช่นนั้น ซึ่งมันก็อาจเกิดจากความบริสุทธ์ใจจริงของเขาก็ได้

“ผลกำไรของเรากำลังจะออกมาอย่างยอดเยี่ยม ความจริงแล้วมันยังดีกว่าในหลายปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว จิม … ฉันคิดว่านายน่าจะยังจำได้ๆว่าราคาของมันเคยซื้อขายกันที่เท่าไหร่ตอนที่มันกำลังรุ่งเรืองอยู่” แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้มักทำให้คุณรู้สึกกระตือรือร้นและใช้เวลาไม่นานนักในการที่จะเป็นเจ้าของหุ้นตัวนี้

ภายหลังจากนั้นงบการเงินแต่ละชิ้นก็ได้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจของมันดีขึ้นกว่าในไตรมาสของปีที่แล้วเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำแล้วมันยังมีการประกาศจ่ายปันผลพิเศษออกมาอีกด้วย ราคาของหุ้นนั้นมีแต่ที่จะวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆและนั่นทำให้คุณมีความสุขอยู่กับความฝันจากกำไรทางบัญชีของคุณเป็นอย่างมาก แต่แล้วเมื่อเวลาได้ผ่านไปสักพักหนึ่งธุรกิจของบริษัทแห่งนี้ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายเอาอย่างมาก และแน่นอนว่าคุณก็ไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากข้อเท็จจริงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ คุณนั้นรู้เพียงแต่ว่าราคาของมันได้ตกลงมาอย่างรุนแรงและนั่นทำให้คุณต้องรีบโทรไปหาเพื่อนของคุณอย่างรวดเร็ว

“ใช่แล้วเพื่อน มันกำลังร่วงลงมา” เขากล่าว

“ราคาหุ้นกำลังเกิดการพักตัวลงมาก็จริงแต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงแค่การพักตัวสั้นๆชั่วคราวเท่านั้น สภาพของตัวธุรกิจเองอาจแย่ลงบ้างในระดับหนึ่ง แต่การที่หุ้นโดนถล่มลงมานั้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากแรงขายเพื่อทำการชอร์ทหุ้นแทบทั้งสิ้น”

เขาอาจยังคงพูดจาวกวนต่อไปเรื่อยๆเพื่อปกปิดเหตุผลที่แท้จริงของมันเอาไว้ คุณคงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากับเพื่อนของเขานั้นได้ถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนมากและพยายามที่จะขายหุ้นออกอย่างเร็วและมากที่สุดเท่าที่ตลาดจะสามารถรองรับเอาไว้ได้ และนั่นก็เพราะสภาวะที่เกิดนั้นขึ้นถือเป็นสัญญาณการทรุดตัวอย่างรุนแรงสำหรับธุรกิจของพวกเขา ซึ่งในการที่เขาจะยอมบอกความจริงกับคุณออกมานั้น มันย่อมไม่แตกต่างอะไรกับการเชื้อเชิญคุณหรือเพื่อนๆของคุณเข้ามาสู่การแข่งขันในการขายหุ้นของพวกเขา จำไว้ให้ดีว่าสุดท้ายแล้วในตลาดหุ้น มันก็จะวนกลับไปที่เรื่องของการปกป้องตนเองอยู่เสมอ

นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้อย่างง่ายดายว่า เหตุใดเพื่อนของคุณหรือผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้นๆจึงสามารถที่จะแนะนำให้คุณเข้าซื้อหุ้นได้อย่างง่ายดาย แต่พวกเขากลับไม่สามารถที่จะแนะนำและจะไม่ยอมบอกกับคุณเลยว่าเมื่อไหร่ที่คุณจึงควรขายหุ้นทิ้งไป เพราะนั่นก็เท่ากับว่าเขากำลังจะทรยศเพื่อนร่วมกระบวนการหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับตัวของเขาอยู่นั่นเอง

ผมเองอยากจะแนะนำให้คุณพกสมุดเล่มเล็กๆติดตัวเอาไว้อยู่เสมอจดข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจของตลาดลงไปโดยคิดเอาไว้ว่ามันอาจมีประโยชน์ขึ้นในอนาคต, จดแนวคิดที่สามารถจะนำมาอ่านซ้ำทบทวนได้เป็นครั้งคราว, จดถึงสิ่งต่างๆที่คุณสังเกตุได้จากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเอาไว้ และในหน้าแรกของสมุดพกเล่มนี้นั้น ผมขอแนะนำให้คุณเขียนมันเอาไว้ด้วยหมึกลงไปว่า

“จงระวังข้อมูลวงในเอาไว้ให้ดี … จงระวังข้อมูลวงในจากทุกๆคน”

ผมคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวว่าในการเก็งกำไรหรือการลงทุนนั้น ความสำเร็จของมันจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ทุ่มเทให้และใส่ใจเพียงเท่านั้น ไม่มีใครที่จะหาเงินจำนวนมากมาให้คุณได้ง่ายๆอย่างแน่นอน และมันก็เหมือนกับเรื่องของ “คนจรจัดที่หมดเนื้อหมดตัว” (The Penniless Tramp) ซึ่งความหิวโหยได้ทำให้เขามีเกิดความกล้าหาญที่จะเดินเข้าไปในร้านอาหารแล้วสั่งขึ้นมาว่า “ขอเสต็กเนื้อฉ่ำๆ ในส่วนที่เนื้อแน่นที่สุด หอมๆ ชิ้นใหญ่ๆ หนึ่งที่” นอกจากนี้เขายังกล่าวกับบริกรไปอีกว่า “บอกเจ้านายคุณด้วยว่าให้ทำมาให้เร็วที่สุด” ไม่นานหลังจากนั้นบริกรคนนั้นก็ค่อยๆเดินกลับมาและบ่นออกมาว่า “เจ้านายของผมบอกว่า หากว่าเขามีเสต็กแบบนี้อยู่จริงๆเขาก็คงจะกินมันเองแล้ว”

เฉกเช่นเดียวกันนี้เอง ถึงแม้ว่ามันอาจมีเงินที่หามาได้ง่ายๆอยู่รอบตัวเราจริงๆก็ตาม แต่มันก็คงไม่มีใครที่คิดจะนำมันมายัดใส่กระเป๋าของคุณอย่างแน่นอน

[ จบบทที่ 6 รอติดตามบทที่ 7 ได้ในบทความต่อไปเร็วๆนี้ หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถ Comment เพื่อสอบถามและพูดคุยกับผมได้เลยนะครับผม :D ]

ถ้าเห็นว่าบทความไหนมีประโยชน์ เพื่อนๆสามารถที่จะนำบทความไปแปะเพื่อแบ่งปันได้โดยไม่มีปัญหา แต่ยังไงขอแรงช่วยลิงค์อ้างอิงกลับมาที่แมงเม่าคลับกันหน่อยนะครับ :D หมายเหตุ : สำหรับการแปะลิงค์ใน Pantip.com ช่วยใส่ Link ให้เป็น http://www.mangmaoclub.com เพื่อให้แปะลงไปได้โดยไม่ Error ขอบคุณครับ :)