เห็นสาวๆหลายๆคนชอบบอกว่าการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ช่วงนี้ตลาดหุ้นกำลังเนือยๆ ผมเลยขออาสาเป็นตัวแทนของเหล่าพ่อบ้านใจกล้าทั้งหลายมาช่วยค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่อนี้กันหน่อยดีกว่า ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยครับ 55
ของแบรนด์เนม กับการลงทุน!
ในยุคนี้นั้นเมื่อพูดถึงเรื่องของแบรนด์เนม จากประสบการณ์นั้นผมเชื่อว่าเพื่อนๆนักลงทุนหลายๆคน (โดยเฉพาะพ่อบ้านทั้งหลาย) คงจะต้องเคยมีประสบการณ์ตรงหรือไม่ก็เฉียดๆ กับการต้องเจียดเงินไปเป็นบรรณาการให้กับสินค้าเหล่านี้กันไม่มากก็น้อยพอสมควรนะครับ
เอาล่ะผมไม่ได้จะมาแนะนำว่าคุณควรที่จะซื้อหรือไม่ซื้อของเหล่านี้กันหรอกนะครับ เพราะผมคิดว่าคำถามนี้นั้น ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่ว่าคุณจะซื้อหรือไม่! (เพราะยังไงสุดท้ายเมื่อถึงเวลาจำเป็นคุณก็คงต้องซื้อมันบ้างอยู่ดี 55) แต่สิ่งที่เราจะมาหาคำตอบกันในวันนี้ก็คือความจริงแล้วมัน … คุ้มค่าทางการลงทุนแบบเป็นตัวเงินจริงๆหรือไม่? หรือพวกเราควรที่จะเก็บเงินไว้ลงทุนกับอย่างอื่นแทนดี??
แน่นอนครับว่าเรื่องนี้มันคงตอบไม่ง่ายสักเท่าไหร่นัก และคำตอบนั้นก็คงไม่ได้มีแค่คำตอบเดียวอย่างแน่นอน แต่เพื่อให้มันเป็นอะไรที่สากลโลกที่สุด ผมคิดว่าสินค้าฟุ่มเฟือยสุดฮิตอย่างหนึ่ง ที่มักถูกยกมาเป็นข้ออ้างในการลงทุนของผู้หญิงทั้งหลายเลยก็คงจะหนีไม่พ้นพวก “กระเป๋า” กันสักเท่าไหร่นัก ดังนั้น วันนี้ผมเลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาเล็กน้อย (ตามสไตล์ผู้ชายที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องกับของแบบนี้) และก็ได้พบว่ากระเป๋าแบรนด์เนมที่ถือเป็นรุ่นยอดฮิต, ได้รับการยอมรับว่าคลาสสิค, ซื้อง่ายขายคล่อง และราคาขายต่อไม่ค่อยตกกันในวงการก็คือกระเป๋า …
CHANEL
ภาพที่ 1 : กระเป๋า Chanel รุ่น Classic Medium Flap และราคาขายมือหนึ่งย้อนหลังจาก The Viviant-Stylecaster.
โดยหลังจากที่ผมได้รู้แล้วว่ากระเป๋า Chanel ถือเป็นแบรนด์ที่เป็นที่นิยมกันโดยกว้างขวาง อีกทั้งยังมีข้อมูลราคาย้อนหลังใน Internet ให้พอที่จะนำเอาตัวเลขต่างๆมาวัดดูได้ (Hermes กับ Louis Vuitton ผมหาไม่เจอครับแหะๆ) ผมก็ได้สืบค้นข้อมูลต่อไปว่าเจ้ากระเป๋า Chanel ที่ว่าเนี่ยรุ่นไหนมันฮิตที่สุด … ซึ่งคำตอบก็คือเจ้า Chanel รุ่น Classic Medium Flap Bag ดังภาพด้านบนนั่นเอง!
ซึ่งจากการหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยจากแหล่งอื่นๆผมก็ได้พบว่ามีข้อมูลอีกหลายๆที่ที่น่าสนใจพอกัน ยกตัวอย่างเช่นข้อมูลจากทางเว็บไซต์ chanelprices ก็แสดงให้เห็นว่า นอกจากที่ราคาของมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆนั้น เมื่อมองด้วยตาเปล่าก็ดูเหมือนกับว่าราคาของมันยังอาจสามารถเติบโตชนะดัชนี S&P500 ได้อีกด้วย!
อุ้๊บ้ะ! แม่เจ้า อะไรมันจะขนาดนั้น ผมชักอดสงสัยไม่ได้แล้วสิว่ามันจะจริงเท็จสักแค่ไหน แล้วผลตอบแทนของมันจะดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นโดยทั่วไปได้หรือไม่? ดังนั้นแล้ว ในบทความนี้ผมจะถือเอาโดยพละการว่ามันเป็นตัวแทนของสินค้าแบรนด์เนมทั้งหลายก่อนแล้วกัน! ว่าแล้วเราก็มาลองเอาตัวเลขของมันมาเปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆกันดูบ้างดีกว่าครับ :D
ภาพที่ 2 : ราคาย้อนหลังของกระเป๋า Chanel รุ่น Medium Lambskin, Jumbo Lambskin, S&P500 และทองคำ ตั้งแต่ปี 2003 – 2014 จาก chanelprices.com
ผลตอบแทนของ กระเป๋า Chanel ทองคำ และตลาดหุ้นไทย
“กระเป๋าแบรนด์เนม มันให้ผลตอบแทนที่ดีขนาดนั้นได้จริงๆหรือ!?”
ผมคงต้องยอมรับว่าในฐานะของผู้ชายที่ไม่ค่อยจะสนใจสินค้าแบรนด์เนมอย่างผมนั้น มันอดรู้สึกสงสัยไม่ได้จริงๆว่า การลงทุนในสินค้าแบรนด์เนมต่างๆอย่างที่สาวๆหลายคนกล่าวอ้างมันจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนสักขนาดไหนกัน (เข้าข้างตัวเอง 55 อย่าพึ่งด่าผมในใจนะครับ) ดังนั้นแล้วเพื่อความเที่ยงตรง ผมจึงได้ทำการค้นหาข้อมูลตัวเลขดิบๆจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่งมาเปรียบเทียบกัน (ข้อมูลหลักๆมาจาก racked.com)
โดยหลังจากที่ผมได้ตัวเลขราคาขายมือหนึ่ง และผลตอบแทนรายปีของกระเป๋า Channel รุ่น Classic Medium Flap ออกมาแล้วนั้น ผมก็ได้ทำการนำมาเปรียบเทียบกับราคาของสินทรัพย์การลงทุนยอดนิยมต่างๆดู โดยในที่นี้ผมจะขอนำเอาสินทรัพย์ที่เป็นที่นิยมกล่าวถึงของนักลงทุนไทยกันมากๆนั่นก็คือ ทองคำ, ดัชนีตลาดหุ้นไทย และดัชนีตลาดดาวโจนส์ โดยที่ภาพด้านล่างก็คือภาพเปรียบเทียบราคาและการเติบโตของดัชนีราคาของพวกมัน ซึ่งหลายๆคนคงจะสามารถสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้ว่า … สงสัยผมจะคิดผิดเสียแล้ว !@$%& โอ้ว!
ภาพที่ 3 และตารางที่ 1 : ดัชนีราคารายปีของ กระเป๋า Chanel , ทองคำ, ตลาดหุ้นไทย และดาวโจนส์ย้อนหลัง
อย่างไรก็ตาม! เพื่อนๆคงทราบกันดีว่าผมและเพื่อนๆที่อ่านบล็อกนี้อีกหลายคนนั้น เป็นประเภทนักลงทุนตามระบบหรือ Quantitative and Systematic Trader กันเต็มขั้น :P เราจะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่าในทันที! ดังนั้น เราจึงต้องมาลองแปลงให้มันเป็นตัวเลขผลตอบแทนให้มันชัดเจนขึ้นกันดูอีกสักหน่อย!!
ซึ่งเมื่อผมนำเอาตัวเลขต่างๆมาทำการคำนวณเปรียบเทียบผลตอบกันก็ได้พบว่า ราคาและการขึ้นราคาของกระเป๋ารุ่นนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ! โดยมีลักษณะเป็นดั่งในภาพและตารางด้านล่างนี้นั่นเองครับ (ในบทความนี้ผมจะขอตัดเอาเฉพาะช่วง 2005-2014 นะครับ เพราะเป็นช่วงที่ราคากระเป๋า Chanel ครบถ้วน)
SET.%Ret | DJIA.%Ret | Chanel%Ret | Gold.%Ret | |
---|---|---|---|---|
Annualized Return | 8.41 | 5.15 | 15.60 | 10.60 |
Annualized Std Dev | 30.88 | 16.15 | 15.66 | 17.92 |
Annualized Sharpe (Rf=4%) | 0.14 | 0.07 | 0.74 | 0.36 |
ภาพที่ 4 และตารางที่ 2 : ผลตอบแทนคิดโดยข้อมูลรายปีของกระเป๋า Chanel , ทองคำ, ตลาดหุ้นไทย และดาวโจนส์ โดยที่ Annualized Return (CAGR) คือผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น, Annualized Std Dev คือความผันผวนของผลตอบแทน และ Annualized Sharpe Ratio คือค่า Sharpe Ratio รายปีคิดด้วย Risk Free Rate ที่ 4%
โดยข้อสรุปจากข้อมูลตัวเลขที่คำนวณออกมานั้น ผลสรุปก็คือผมดูถูกมันเกินไป! กระเป๋า Chanel ซึ่งเป็นตัวแทนของสินค้าแบรนด์เนมราคาสุดโหด สามารถที่จะเอาชนะผลตอบแทนของทั้ง ทองคำ, ดัชนีตลาดหุ้นไทย และดัชนีดาวโจนส์ ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ!!
อธิบายภาพและตารางด้านบนนี้ง่ายๆเลยก็คือ สมมติว่าเราทำการซื้อมันเก็บไว้ไม่ให้เสียหายตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และอยากจะนำมาขายต่อในวันนี้โดยที่สภาพยังดีอยู่ ในวันนี้มันสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนถึงกว่า 326.09% หรือผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น (CAGR) ที่ราว 15.6% ต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งถือได้ว่าผลตอบแทนในอุดมคติของมันทิ้งขาดทั้ง
- ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ให้ผลตอบแทนที่ 124.17% หรือ CAGR ที่ราว 8.41% ต่อปี
- ทองคำที่ 173.8% หรือ CAGR ที่ราว 10.6% ต่อปี
- ดัชนีดาวโจนส์ที่ 65.29% หรือ CAGR ที่ราว 5.15% ต่อปี
ซึ่งหลังจากที่ผมได้กราฟและตัวเลขเหล่านี้ออกมานั้น งานนี้ผมคิดในใจและบอกได้เลยว่า … เมื่อสาวๆทั้งหลายล่วงๆรู้ความจริงข้อนี้ พ่อบ้านใจกล้าทั้งหลายก็อาจมีหนาวแน่นอนครับ 55
หรือของแบรนด์เนม จะเป็นการลงทุนทางเลือกได้จริง?
สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ หลังจากที่ผมสนุกกับตัวเลขต่างๆ และเริ่มรู้สึกหวาดกลัวที่ทำสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แล้วนั้น T_T ผมค้นพบความน่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะนำมาแขร์ให้ฟังกัน … ซึ่งนั่นก็คือเรื่องของค่าสหสัมพันธ์หรือค่า Correlation ของผลตอบแทนจากกระเป๋า Chanel นั่นเอง
ภาพที่ 5 : ตาราง Yearly Return Correlation ระหว่างกระเป๋า Chanel , ทองคำ, ตลาดหุ้นไทย และดาวโจนส์
โดยสิ่งที่น่าสนใจก็คือจากค่าตัวเลขสหสัมพันธ์ของผลตอบแทนหรือ Return Correlation จากสินทรัพย์ต่างๆที่ออกมานั้น ผมพบว่ากระเป๋า Chanel ซึ่งเป็นตัวแทนของแบรนด์เนมในบทความนี้ ให้ค่า Return Correlation ที่ค่อนข้างต่ำไม่เกิน 0.3 กับทั้งตลาดหุ้นและทองคำอยู่พอสมควร (ค่า Correlation มีค่าระหว่าง -1 ถึง 1 ยิ่งค่าเข้าไกล้ 1 เท่าไหร่ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กัน แต่หากค่าเข้าไกล้ -1 มากเท่าไหร่ยิ่งแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวในทางตรงกันข้ามกัน)
ซึ่งนั่นหมายถึงว่าหากเรามองกันตามทฤษฎีการกระจายความเสี่ยงหรือ Modern Portfolio Theory แล้วล่ะก็ การมีทรัพย์สินประเภทนี้สะสมไว้ส่วนหนึ่งในพอร์ทการลงทุนโดยรวมของคุณ มันอาจจะช่วยให้พอร์ทโฟลิโอโดยรวมมีความเสี่ยงที่ต่ำลงก็เป็นได้ (และในหลายๆกรณีช่วยให้ผลตอบแทนดีขึ้นด้วย) เพราะการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ที่ขึ้นลงไม่สัมพันธ์กันจะช่วยชดเชยความเสียหายของสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่งได้ ดังนั้นแล้วสินค้าต่างๆนอกตลาดเหล่านี้อาจกลายเป็นสินทรัพย์การลงทุนทางเลือกที่น่าสนใจในอนาคตต่อไปก็ได้เช่นกัน หากว่าเราทำการบ้านได้ดีเพียงพอ!
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายนี้ผมคงต้องขอเตือนว่าสิ่งที่ผมนำมาแชร์ให้อ่านกันวันนี้เป็นเพียงการทำข้อมูลในเบื้องต้นเท่านั้นนะครับ ยังมีปัจจัยอีกหลายๆอย่างซึ่งยังไม่ถูกนำมาพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดการเปลี่ยนมือ, กระเป๋า หรือสินค้าแบรนด์เนมรุ่นอื่นๆด้วย นอกจากนี้แล้วอย่าลืมว่าตัวเลขซึ่งเป็นตัวแทนของสินค้าแบรนด์เนมในบทความนี้มี Selection Bias และ Survivorship Bias แฝงอยู่เช่นกัน (เหมือนผมหยิบหุ้นตัวขึ้นเยอะๆเสร็จไปแล้วมาโม้นั่นแหละครับ 55) เราคงไม่มีวันรู้ได้อย่างแน่นอนว่ามันจะยังเป็นที่นิยมหรือราคาจะวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆอีกต่อไปหรือไม่ แต่ยังไงก็ถือว่าผมเอามาเล่าให้ฟังเป็นเกร็ดความรู้การลงทุนสนุกๆกันก็แล้วกันนะครับ
วันนี้มีเท่านี้แหละครับ พบกันใหม่บทความหน้าครับ ขอบคุณทุกคอมเมนท์ล่วงหน้าครับ
ปล : เขียนไปเขียนมาชักรู้สึกเหมือนเป็นหน้าม้าขึ้นทุกที แต่สาบานได้ว่าผมไม่ได้มีเอี่ยวกับทาง CHANEL หรือได้ตังค์สักบาทจากการพูดถึงกระเป๋ารุ่นนี้นะครับ! :D 55