สำหรับนักลงทุนพื้นฐานแล้ว การอ่านงบการเงินให้เป็นมีความจำเป็นมากในการที่จะตัดสินใจลงทุนในกิจการต่างๆ แต่เมื่อมองมากลับมาในมุมของการเก็งกำไรนั้น ผมพบว่าน้อยคนนักที่จะสนใจในการหาข้อมูลและทำความเข้าใจใน Performance ต่างๆของระบบการลงทุนอย่างจริงจัง ทั้งๆที่พวกเขาจะต้องทำตามระบบการลงทุนต่างๆเป็นเวลาอีกยาวนานเพื่อให้ระบบผลิดอกออกผลของมันออกมา ดังนั้นวันนี้จึงอยากจะขอพูดถึงเรื่องนี้กันสักหน่อยครับ
วันนี้พอดีตั้งใจจะทำภาพ Timeline ของกลยุทธ์การเก็งกำไรแบบ Trend Following เอาไว้สักหน่อย พอดีผ่านไปเห็น App Timeline สวยๆเลยทำมาฝากกัน ลองเลื่อนๆอ่านดูเอาแล้วกันนะครับ เกร็ดความรู้จากประวัติศาสตร์มักช่วยเติมเต็มความเข้าใจของเราได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีเท่าไหร่เพราะข้อมูลเยอะ แต่เดี๋ยวจะค่อยๆ Update ไปครับ ^_^
ผมพูดตรงๆว่าผมค่อนข้างขัดใจเวลาที่ได้ยินใครมักชอบพูดกันว่า “หุ้นขึ้นมาเพราะกราฟมันทำตัวแบบนี้ Indicator กำลังมีค่าเท่านั้น หรือหุ้นวิ่งลงไปเพราะกราฟเป็นรูปแบบนี้” อยู่เสมอ … ทำไมน่ะหรือครับ? สาเหตุก็เพราะว่าในทางสถิตินั้นถึงแม้ว่าเราจะบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเหตุการณ์ต่างๆออกมาได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเหตุและผลซึ่งกันและกันเลย ดังนั้นแล้วมันจึงแทบไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะต้องพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนการตัดสินใจในการเทรดของคุณแบบ “ครั้งต่อครั้ง” เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่สถิติจากกราฟทาง Technical Analysis ให้กับคุณได้นั่นเองครับ
จากอุณหภูมิการเมืองที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆในขณะนี้ทำให้นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่เกิดความกังวลกันกันถ้วนหน้าว่าพวกเขาควรจะเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะเกิดกันอย่างไร บ้างก็กลัวขาดทุนเพิ่มเพราะถือหุ้นอยู่เต็มพอร์ท บ้างก็กลัวว่าจะขายหมูหากสถานการณ์ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แต่หากจะถามผมแล้ว ผมเชื่อว่าความวิตกกังวลเหล่านี้นั้นไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลยหากคุณรู้จักทำให้การลงทุนของคุณนั้นมีระบบที่ชัดเจน … ทำไมน่ะหรือครับ!? คำตอบก็เพราะในที่สุดแล้วระบบที่ดีจะดูแลตัวของมันเองอยู่เสมอ และสิ่งที่คุณควรทำทั้งหมดก็คือรักษาวินัยและทำตามระบบหรือแผนการของคุณไปให้ดีที่สุดนั่นเอง
ในช่วงที่ตลาดลงติดๆกันหลายๆวันบ่อยๆอย่างนี้ สิ่งหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอก็คือเรื่องของอาการติดดอย มีหลายคนสงสัยว่าหากติดดอยโดยเฉพาะยอดดอย (Highest High) แล้วไม่ตัดขาดทุนจะเกิดอะไรขึ้น แล้วถ้าเกิดติดดอยขึ้นมาจริงๆจะหนาวสักแค่ไหน วันนี้เอาสถิติจากตลาดหุ้นไทยมาฝากกันสั้นๆเล็กน้อยครับ
หลังจากที่ผมเคยได้พูดอยู่บ่อยๆรวมถึงได้เขียนบทความ “เหตุใดระบบการลงทุนของคุณจึงควรง่ายเข้าไว้?” ผ่านมาสัก 2 ปีเห็นจะได้ หลังๆมานี้ก็เห็นหลายๆคนเริ่มมีความเข้าใจถึงข้อดีของความง่ายของระบบกันมากขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ยังมีคนที่สงสัยและติดใจว่าเราไม่จำเป็นต้องสนใจปัจจัยอื่นๆอีกมากมายด้วยจริงๆหรือ? วันนี้เลยขอกลับมาเขียนภาคต่อของบทความนี้ เพื่อให้หลายๆคนที่ยังไม่คุ้นกับการทดสอบระบบการลงทุนได้เห็นภาพกันชัดเจนยิ่งขึ้นครับ
หลังจากอยู่ในตลาดมานานพอดู ผมเริ่มจะนึกย้อนกลับไปว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราเดินเข้ามาในตลาดและยังคงเลือกที่จะยืนอยู่ตรงนี้กันแน่? คิดไปคิดมาก็เลยเพ้อเจ้อไปเรื่อยจนได้ข้อมูลบางอย่างที่อยากจะนำมาออกมาแชร์ให้กับหลายๆคนในวันนี้สักหน่อยครับ ^_^
วันนี้เป็นวัน Christmas Eve ซึ่งอีกไม่กี่วันเราก็จะได้นั่ง Countdown ต้อนรับปีใหม่กันแล้ว ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงจะมีความสุขกับการลงทุนในปีนี้อยู่ไม่น้อย สำหรับบทความสุดท้ายก่อนสิ้นปีนี้ผมจึงอยากจะพูดถึงมุมมองของผมซึ่งมีต่อตลาดหุ้นและผลตอบแทนของคนส่วนใหญ่ในปีนี้ตามสไตล์ของผมกันสักนิดนึงครับ
ทุกๆอย่างบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลาในการสร้างขึ้นมา … ไม่เว้นแม้แต่ผลกำไรของคุณ!!
ผมเสียดายที่นักเล่นหุ้นหลายๆคนไม่เคยเข้าใจในจุดนี้ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขามักเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจก่อนเวลาอันควรอยู่เสมอ ผลลัพท์ก็คือคนส่วนใหญ่จึงมักไม่เคยจะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันเสียทีในตลาดหุ้น
ปิดท้ายสัปดาห์ก่อนและจบเดือนพฤษจิกายนด้วยการที่ SET Index ทำ Breakout New High ในรอบ 15 ปีที่ดัชนี 1324.04 จุดอย่างสวยงามด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 77,598.25 ล้านบาท (ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีในเดือนธันวาคมมหามงคลจริงๆ) วันนี้ผมก็เลยอยากเขียน Checklist สั้นๆจำง่ายๆสำหรับการทำกำไรในตลาดหุ้นขาขึ้นกันสักหน่อยครับ