เกริ่นนำ
หนังสือ “ถอดรหัสเซียนหุ้น : กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์” เล่มนี้นั้น แปลจากต้นฉบับหนังสือ How to trade in stocks by Jesse L. Livermore Duel, Sloan & Pearce, 1940 Original โดยที่ผม มนสิช จันทนปุ่ม (มด แมงเม่าคลับ) ขออนุญาติสงวนลิขสิทธิ์ในการดัดแปลงแก้ไข และใช้งานเพื่อการค้าต่างๆตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านสามารถทำการแชร์และแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้อ่านได้โดยสะดวกทั่วกัน
โดยที่ซีรี่ส์บทความ “ถอดรหัสเซียนหุ้น กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์” ในครั้งนี้นั้น เกิดขึ้นเนื่องจากผมเองได้พบว่ามีนักแปลและสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ได้นำเอางานแปลของผมไปดัดแปลงเพื่อทำประโยชน์ทางการค้าโดยมิได้ขออนุญาติกับผมก่อน ตามรายละเอียดในลิงค์นี้
คำชี้แจงเกี่ยวกับหนังสือ How to Trade in Stocks ของ Jesse Livermore ที่ผมเคยได้แปลไว้…
Publiée par แมงเม่าคลับ แบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น sur Jeudi 20 juin 2019
Update : เรื่องการโดนนำเนื้อหาการแปลหนังสือ How to Trade in Stocks ที่ผมได้เคยแปลไว้ไปดัดแปลงพิมพ์จำหน่าย…
Publiée par แมงเม่าคลับ แบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น sur Mardi 9 juillet 2019
ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะนำงานแปลต้นฉบับของผมทั้งหมดลงไว้ในเว็บไซต์แมงเม่าคลับแห่งนี้ เพื่อเป็นการส่งมอบความรู้ให้กับทุกท่านโดยสาธารณะ (แต่ขออนุญาติสงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผมก่อนนะครับ)
หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่านครับ :D
บทที่ 2 : เมื่อไหร่จึงจะเรียกได้ว่าหุ้นมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม?
พฤติกรรมของราคาหุ้นนั้นเปรียบเสมือนกับพฤติกรรมของคนเรา พวกมันต่างก็มีบุคลิกและลักษณะนิสัยของตัวมันเอง หุ้นบางตัวนั้นช่างอ่อนไหว, ขี้ตกใจ และชอบเปลี่ยนแปลงไปมา ในขณะที่หุ้นบางตัวก็กลับมีเหตุผลและตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องเรียนรู้และยอมรับต่อพฤติกรรมของหุ้นแต่ละตัวเอาไว้ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของพวกมันก็ยังเป็นสิ่งที่เราสามารถจะคาดเดาได้ภายใต้สภาวะการณ์หนึ่งๆ
ตลาดหุ้นนั้นไม่เคยที่จะหยุดนิ่ง ถึงแม้ว่าพวกมันอาจดูเงียบเหงาในบางเวลาแต่พวกมันจะไม่มีวันหยุดอยู่ที่ระดับราคาใดราคาหนึ่ง พวกมันจะยังคงวิ่งขึ้นหรือไม่ก็วิ่งลงไปมาทีละน้อย และเมื่อไหร่ที่การเคลื่อนไหวของพวกมันได้เกิดเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นมาแล้ว แนวโน้มที่เกิดขึ้นนั้นก็จะดำเนินต่อไปอย่างอัตโนมัติและมันจะดำเนินต่อไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งจนกว่าที่กระบวนการเคลื่อนไหวของมันจะสิ้นสุดลง
ณ จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวนั้น คุณจะสามารถสังเกตได้ถึงปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับการวิ่งขึ้นไปของราคาหุ้นในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่วัน หลังจากนั้นมันก็จะเกิดสิ่งที่ผมเรียกว่า “การพักตัวตามปกติ” (Normal Reaction) ตามมา โดยเมื่อหุ้นเกิดการพักตัวขึ้นนั้นปริมาณการซื้อขายของมันจะลดลงจากวันก่อนหน้าที่ได้วิ่งขึ้นมาเป็นอย่างมาก ปฏิกิริยาที่บางเบาเช่นนี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการพักตัวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ปกติธรรมดาโดยทั่วไป จงอย่าได้รู้สึกหวาดกลัวต่อการพักตัวตามปกติของมันเป็นอันขาด แต่จงหวาดกลัวก็ต่อเมื่อการพักตัวของมันได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงจนเกินไป
ภายในวันสองวันหลังจากนั้นกิจกรรมและความครึกครื้นต่างๆก็จะเริ่มเกิดขึ้นมาอีกครั้งและปริมาณการซื้อขายของมันก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นมา โดยหากว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นนั้นเป็นของจริง ราคาหุ้นก็จะฟื้นขึ้นมาจากการพักตัวตามปกติในช่วงเวลาสั้นๆและมันก็จะถูกซื้อขายกันในระดับราคาที่สูงกว่าจุดสูงสุดในรอบที่แล้วอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของมันก็ควรที่จะดำเนินต่อไปอย่างแข็งแกร่งอีกสักพักโดยอาจมีการพักตัวเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นในบางวัน หลังจากนั้น ราคาของมันก็จะวิ่งขึ้นไปถึงระดับราคาหนึ่งจนเกิดการพักตัวตามปกติขึ้นอีกครั้ง แต่จงจำไว้ให้ดีว่าเมื่อเกิดการพักตัวขึ้นมานั้น การเคลื่อนไหวของมันก็ควรที่จะเป็นไปในลักษณะที่ได้เคยเป็นมาอยู่เช่นเดิม เนื่องจากนี่เป็นกลไกตามธรรมชาติของราคาหุ้นที่จะต้องเกิดขึ้นในระหว่างที่แนวโน้มกำลังดำเนินไปอย่างชัดเจนนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว คุณยังจะสังเกตได้อีกว่าในระยะแรกๆของการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ ระยะทางจากจุดสูงสุดเดิมไปยังจุดสูงสุดใหม่ของมันจะยังคงเป็นระยะทางที่ไม่มากเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกมันก็จะค่อยๆวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ผมจะขออธิบายตัวอย่างให้คุณได้เข้าใจกัน สมมติว่าหุ้นตัวหนึ่งได้เริ่มต้นวิ่งขึ้นจากราคา $50 โดยในช่วงแรกของการเคลื่อนไหวนั้น มันอาจค่อยๆเคลื่อนที่ขึ้นไปจนถึงราคา $54 หลังจากนั้นประมาณวันสองวัน การพักตัวตามปกติที่เกิดขึ้นก็ทำให้ราคาของมันถอยกลับลงไปซื้อขายกันอยู่ที่ราวๆ $52½ หรือที่ระดับราคาแถวๆนั้น และในอีกสามวันต่อมามันก็เริ่มวิ่งกลับขึ้นไปในทิศทางเดิมอีกครั้งหนึ่ง ในคราวนี้ราคาของมันอาจวิ่งขึ้นไปถึงราวๆ $59 หรือ $60 ก่อนที่จะเกิดการพักตัวตามปกติอีกครั้งก็เป็นได้ แต่แทนที่มันจะเกิดการพักตัวลงมาแค่ประมาณเหรียญหรือเหรียญกว่าๆเช่นเดิม การพักตัวตามปกติที่เกิดขึ้นอาจกินระยะลงมาถึงสามเหรียญก็เป็นได้ และเมื่อมันเริ่มวิ่งกลับขึ้นไปอีกครั้งในไม่กี่วันต่อมา คุณจะเริ่มสังเกตได้ว่าปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นนั้นกลับไม่มากเท่ากับในช่วงระยะเริ่มต้นของการเคลื่อนไหว ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะหุ้นเริ่มที่จะถูกกวาดซื้อได้ยากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การเคลื่อนไหวในแต่ละช่วงราคาถัดๆไปเร็วขึ้นกว่าเดิมทุกทีๆ ต่อมาราคาของมันนั้นอาจวิ่งขึ้นจากจุดสูงสุดเดิมที่ $60 ไปสู่ระดับราคาที่ $68 ถึง $70 ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เจอกับปฏิกิริยาสะท้อนกลับใดๆเลยก็เป็นได้ แต่เมื่อการพักตัวตามปกติของมันเกิดขึ้นนั้น มันก็อาจที่จะรุนแรงกว่าเดิมเป็นอย่างมากและมันอาจเกิดการพักตัวลงมาถึงที่ราคา $65 โดยที่ยังถือได้ว่าเป็นการพักตัวตามปกติของมันก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม หากว่าการพักตัวที่เกิดขึ้นนั้นกินระยะทางถึงห้าเหรียญหรือมากกว่านั้น มันก็ไม่ควรที่จะต้องใช้เวลานานหลายวันจนเกินไปก่อนที่มันจะเริ่มวิ่งกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้แล้ว มันก็ยังควรที่จะวิ่งขึ้นไปซื้อขายในราคาที่สูงกว่าจุดสูงสุดเดิมได้อีกครั้ง และนี่ก็คือช่วงเวลาที่องค์ประกอบทางด้านของจังหวะเวลาจะถูกนำมาประยุกต์ใช้นั่นเอง
คุณนั้นต้องไม่ปล่อยให้หุ้นทำตัวเฉยชากับคุณจนเกินไป แน่นอนว่าหลังจากที่คุณเริ่มได้รับผลกำไรอย่างงามจากมันแล้ว คุณก็ควรต้องพยายามอดทนที่จะถือมันเอาไว้ แต่จงอย่าปล่อยให้ความอดทนอดกลั้นนั้นทำให้คุณเพิกเฉยต่อสัญญาณอันตรายที่ได้เกิดขึ้นมาเป็นอันขาด
เมื่อราคาของหุ้นได้วกกลับขึ้นไปอีกครั้งหนึ่ง มันอาจวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วถึงหกหรือเจ็ดเหรียญในเวลาแค่วันเดียวและตามมาด้วยการพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆอีกกว่าแปดถึงสิบเหรียญในวันต่อมาก็เป็นได้ (พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่มหาศาล) อย่างไรก็ตาม ในชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขายในวันนั้นอยู่ๆก็อาจเกิดแรงขายกระแทกให้หุ้นร่วงหล่นลงมาเจ็ดถึงแปดเหรียญในทันที และยังตามมาด้วยการร่วงหล่นลงมาของราคาอีกเหรียญกว่าๆในเช้าของวันถัดไป แต่หลังจากนั้นมันก็ดีดตัวกลับขึ้นไปในช่วงบ่ายจนทำราคาปิดได้อย่างแข็งแกร่งเมื่อตลาดปิดลง อย่างไรก็ตาม ในวันต่อมาคุณก็กลับสังเกตได้ว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้มันไม่สามารถพุ่งขึ้นไปได้เหมือนเช่นเคย
นี่คือสัญญานอันตรายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน นั่นก็เพราะตั้งแต่ที่กระบวนการต่างๆได้ดำเนินมาเรื่อยๆนั้น ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมากไปกว่าการพักตัวตามปกติธรรมดาเลย แต่แล้วในทันทีทันใดก็กลับเกิดปฏิกิริยาโต้กลับที่รุนแรงจนผิดปกติขึ้นมา (โดยสำหรับความหมายของคำว่า “ผิดปกติ” นั้น ผมหมายถึงการที่มันได้ร่วงหล่นลงมาถึงหกเหรียญหรือมากกว่านั้นภายในวันเดียวจากจุดสูงสุดของวัน) มันคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเมื่อมีบางสิ่งได้เกิดขึ้นอย่างผิดปกติในตลาดหุ้นนั้น มันก็เปรียบเสมือนกับสัญญาณที่กระพริบเตือนขึ้นมาให้ทราบถึงอันตรายที่คุณไม่อาจที่จะมองข้ามไปได้นั่นเอง
หลังจากที่คุณสามารถอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากกระบวนการการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้แล้ว เมื่อช่วงเวลาเช่นนี้มาถึง จงมีสามัญสำนึกและความกล้าหาญที่จะยอมรับต่อสัญญาณอันตรายที่ได้ปรากฏขึ้นมาและถอยออกจากตลาดไปเสีย
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้หมายความว่าสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้นนี้จะต้องมีความถูกต้องเสมอไป นั่นก็เพราะอย่างที่ผมได้เคยกล่าวไปแล้วว่า ไม่มีกฎใดๆที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับตลาดหุ้นอย่างถูกต้อง 100% แต่หากว่าคุณมีความใส่ใจต่อมันอย่างสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ ในระยะยาวมันก็จะสามารถทำให้คุณมีกำไรที่งดงามได้อย่างแน่นอน
สุดยอดนักเก็งกำไรผู้หนึ่งได้เคยกล่าวกับผมเอาไว้ว่า “เมื่อผมเห็นสัญญานอันตรายกำลังคืบคลานใกล้เข้ามาหาผม ผมจะไม่ทำการโต้แย้งใดๆกับมันทั้งสิ้น ผมจะหนีออกมาในทันที! และหากไม่กี่วันหลังจากนั้นเมื่อทุกอย่างเริ่มกลับมาดูดี ผมก็ยังสามารถที่จะกลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยวิธีการเช่นนี้เองผมจึงสามารถที่จะปกป้องจิตใจและเงินทุนของผมจากปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี และนี่ก็คือวิธีการที่ผมใช้จัดการกับมัน เพราะหากว่าผมกำลังเดินอยู่บนทางรถไฟและเหลือบไปเห็นว่ามีรถไฟสายด่วนกำลังวิ่งเข้ามาหาผมด้วยความเร็วกว่าหกสิบไมล์ต่อชั่วโมงแล้วล่ะก็ ผมคงไม่โง่พอที่จะไม่กระโดดออกมาจากตรงนั้นแล้วปล่อยให้รถไฟวิ่งผ่านไปเสียก่อน เพราะหลังจากที่มันได้วิ่งผ่านไปแล้วผมก็ยังสามารถที่จะกลับขึ้นไปเดินเล่นอยู่บนรางรถไฟได้อยู่เช่นเดิม” และนี่ก็คือเรื่องราวที่ผมยังคงจดจำอยู่เสมอในฐานะของภูมิปัญญาแห่งการเก็งกำไรที่แสดงให้เห็นถึงภาพต่างๆได้อย่างชัดเจน
นักเก็งกำไรที่ชาญฉลาดทุกคนนั้นไม่มีวันที่จะละเลยต่อสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นเรื่องน่าแปลกเหลือเกินว่าปัญหาที่นักเก็งกำไรส่วนใหญ่ต้องเผชิญก็คือการขาดความกล้าหาญในการที่จะหยุดการกระทำบางอย่างที่พวกเขาได้ทำลงไปเมื่อพวกเขาสมควรต้องทำมัน พวกเขามักจะเกิดความลังเลใจที่ต้องทำมันอยู่เสมอ และในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังลังเลใจอยู่นี่เองที่มักจะทำให้พวกเขาได้แต่ยืนมองตลาดวิ่งสวนทางกับเขาไปหลายช่วงราคา โดยหลังจากนั้นพวกเขาก็มักที่จะพูดขึ้นมาว่า
“ผมจะขายมันทิ้งไปเมื่อมันวิ่งกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง!”
แต่แล้วในที่สุดเมื่อราคาของมันวิ่งกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจริงๆ พวกเขาก็มักที่จะหลงลืมสิ่งที่เคยตั้งใจทำเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ว่าตลาดนั้นเริ่มจะกลับมาดูดีอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การดีดกลับขึ้นมาของตลาดในรูปแบบนี้มักเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและจะจางหายไปในเวลาไม่นานนัก หลังจากนั้นตลาดก็จะเริ่มร่วงหล่นลงไปอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็ยังคงจะติดอยู่ในนั้น (โดยเป็นผลมาจากความลังเลใจของพวกเขาทั้งสิ้น) น่าเสียดายว่าหากพวกเขามีหลักการเก็งกำไรที่เหมาะสมมันก็คงจะบอกกับพวกเขาเองว่าต้องทำอย่างไร และไม่เพียงแต่มันจะช่วยปกป้องเงินทุนของพวกเขาได้เพียงเท่านั้น แต่มันก็ยังจะช่วยปกป้องพวกเขาจากความทุกข์ทรมานต่างๆอีกด้วย
ขอให้ผมได้พูดย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักลงทุนและนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ก็คือความเป็นมนุษย์ในตัวของเราเอง คุณอาจสงสัยว่ามีเหตุผลใดบ้างที่จะทำให้หุ้นไม่วิ่งกลับขึ้นมาหลังจากที่มันได้ร่วงหล่นลงไปอย่างหนัก? คำตอบก็คือ มันอาจจะวิ่งกลับขึ้นมาเมื่อมันได้หล่นลงไปถึงระดับราคาใดราคาหนึ่งก็ได้ แต่เหตุใดคุณจึงต้องไปคาดหวังภาวนาให้มันวิ่งกลับขึ้นมาทั้งๆที่ช่วงเวลาที่มันควรวิ่งขึ้นมานั้นได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว? มันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และถึงแม้มันจะเป็นอย่างที่คุณภาวนาไว้จริงๆล่ะก็ ความคิดแบบนักเก็งกำไรที่ไม่ได้เรื่องเช่นนี้ก็อาจทำให้คุณไม่สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากการที่มันวิ่งขึ้นมาได้อยู่ดี
สิ่งหนึ่งที่ผมต้องการจะพูดอย่างชัดเจนกับทุกๆคนซึ่งมีความใฝ่ฝันที่จะทำให้การเก็งกำไรกลายเป็นธุรกิจอย่างจริงจังขึ้นมาก็คือ คุณต้องกำจัดความคิดเพ้อฝันของคุณออกไปจากการเก็งกำไรเสีย (นั่นก็คือการที่คุณเชื่อว่าคุณจะสามารถประสบความสำเร็จในการเก็งกำไรได้ในทุกๆวันหรือทุกอาทิตย์ได้อยู่ตลอดเวลา) นั่นก็เพราะในแต่ละปีมันอาจจะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการเก็งกำไรอยู่เพียงแค่สี่หรือห้าครั้งเท่านั้น โดยในช่วงเวลาอื่นๆคุณก็ควรปล่อยให้ตลาดได้ปรับสภาวะของมันเองเพื่อเตรียมตัวไปสู่การเคลื่อนไหวที่สำคัญๆในครั้งต่อไป
พึงรำลึกอยู่เสมอว่า หากคุณจับจังหวะการเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างถูกต้องขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก็ การซื้อขายในไม้แรกของคุณจะสะท้อนให้เห็นออกมาเป็นกำไรตั้งแต่เริ่มต้น หลังจากนั้นแล้ว สิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณก็คือการรู้จักเฝ้าระวังและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา จงมองหาการปรากฏขึ้นของสัญญาณอันตรายที่จะบอกให้คุณได้ถอยออกมาจากตลาด และจงเปลี่ยนกำไรทางบัญชีให้กลายเป็นกำไรที่แท้จริงออกมาเสีย
จงจำไว้ให้ดีว่าในขณะที่คุณสามารถนิ่งเฉยอยู่ได้นั้น บรรดานักเก็งกำไรคนอื่นๆซึ่งคิดไปเองว่าพวกเขาต้องทำการซื้อขายอยู่ตลอดเวลาก็คือผู้ที่วางรากฐานสำหรับการลงทุนในภายภาคหน้าของคุณ และนี่คือวิถีแห่งการช่วงใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดของพวกเขานั่นเอง
วิถีของการเก็งกำไรที่แท้จริงนั้นช่างห่างไกลกับความตื่นเต้นเร้าใจเป็นอย่างมาก แต่สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ที่เก็งกำไรอยู่ในห้องค้า หรือผู้ที่มักได้รับโทรศัพท์เกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นตัวนี้อยู่เป็นประจำแถมยังชอบจับกลุ่มพูดคุยเกี่ยวกับตลาดหุ้นหลังเลิกงานอีกนั้น มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่พวกเขาจะต้องมีภาพของราคาหุ้นติดอยู่ในใจเสมอ พวกเขาจึงมักที่จะหมกมุ่นอยู่กับการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยที่ไม่สำคัญของตลาดจนพลาดโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ๆไป ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดผู้คนส่วนใหญ่จึงมักที่จะตัดสินใจผิดพลาดหรืออยู่ผิดที่ผิดทางเมื่อการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของตลาดกำลังเกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยสำหรับนักเก็งกำไรที่ยังยืนกรานจะฝืนทำกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆในระหว่างวันนั้น พวกเขาย่อมไม่มีทางเลยที่จะสามารถช่วงใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญๆของตลาดเมื่อมันมาถึง
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนต่างๆที่ผมได้กล่าวถึงมาแล้วนั้น พวกมันยังคงสามารถที่จะถูกปิดลงได้ด้วยการจดบันทึกและศึกษาถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของตลาดว่ามันมักจะเกิดขึ้นอย่างไร รวมไปถึงการนำปัจจัยทางด้านของจังหวะเวลาเข้ามาคำนวณอย่างรอบคอบนั่นเอง
เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ผมได้ยินเรื่องราวของนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในหุบเขาของรัฐแคลิฟอร์เนียและได้รับข้อมูลของราคาหุ้นล่าช้าไปกว่าความเป็นจริงถึงสามวัน ชายผู้นี้มักที่จะโทรหาโบรคเกอร์ของเขาที่ซานฟรานซิสโกเพียงปีละสองถึงสามครั้งเพื่อที่จะทำการซื้อหรือขายหุ้นจากมุมมองของเขาในขณะนั้นๆ นั่นทำให้เพื่อนคนหนึ่งของผมซึ่งมักใช้เวลาส่วนใหญ่จมอยู่ในห้องค้าเกิดความประหลาดใจเป็นอย่างมาก โดยหลังจากที่ได้ล่วงรู้ถึงพฤติกรรมของชายผู้ซึ่งอยู่ห่างไกลจากตลาดหุ้นรวมถึงปริมาณการซื้อขายอันมหาศาลของเขาแล้ว เพื่อนของผมเกิดจึงความสงสัยและอยากที่จะเสาะหาความจริงเกี่ยวกับชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ในที่สุดแล้วเขาก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับชายผู้นี้ในเวลาต่อมาโดยภายหลังในระหว่างที่เพื่อนของผมกำลังสนทนากับชายผู้นี้ว่าเขาสามารถที่จะติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจากที่ห่างไกลเช่นนั้นได้อย่างไร เขาก็ได้ตอบกลับมาว่า
“อืม …”
“ธุรกิจของผมคือการเก็งกำไร ผมคงจะต้องล้มเหลวแน่ๆหากว่าผมตกอยู่ในความสับสนกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในตลาดและปล่อยให้ตัวของผมเองเสียสมาธิจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆไป ผมชอบที่จะอยู่ห่างออกไปในสถานที่ที่ผมจะใช้เวลาครุ่นคิดได้ คุณเห็นไหมว่าผมจะจดบันทึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดว่ามันได้เป็นอย่างไรต่อจากนั้นบ้าง และมันก็ได้ช่วยให้ผมเห็นอย่างชัดเจนว่าตลาดกำลังทำอะไรอยู่ การเคลื่อนไหวที่แท้จริงของตลาดนั้นไม่มีทางที่จะจบลงในวันเดียว มันย่อมต้องใช้เวลาในการที่จะดำเนินต่อไปจนเสร็จสิ้นอีกสักพักหนึ่ง และด้วยการที่ผมอาศัยอยู่ในหุบเขานั้นผมจึงอยู่ในฐานะที่สามารถจะให้เวลากับตลาดได้อย่างเต็มที่เท่าที่มันต้องการนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างจะจบลงเมื่อผมได้นำเอาราคาหุ้นมาจดลงในสมุดบันทึกและพบว่า ราคาที่ผมได้ทำการจดบันทึกลงไปนั้นไม่มีความสอดคล้องกับแนวโน้มที่เคยเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงเวลาที่ผ่านมา และนี่ก็คือช่วงเวลาที่ผมจะตัดสินใจเดินทางเข้ามาในเมืองและจัดการกับธุระของผมซะ”
นี่คือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้วและแน่นอนว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนานนั้น ชายผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในหุบเขาผู้นี้ก็ยังคงสามารถที่จะดึงเอาเม็ดเงินออกไปจากตลาดได้อย่างมากมายอยู่เช่นเคย มันคือเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผมอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว และมันก็ได้ทำให้ผมกลับไปศึกษาพฤติกรรมของตลาดอย่างหนักกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งนั่นก็เพื่อที่จะนำเอาองค์ประกอบของจังหวะเวลาเข้ามาใช้ร่วมกับข้อมูลที่ผมได้จดบันทึกเอาไว้ให้ได้ และด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของผมนั้น มันก็ได้ทำให้ผมสามารถที่จะนำเอาสิ่งต่างๆที่ผมเคยจดบันทึกไว้มาใช้ร่วมกันได้ จนในที่สุดแล้ว มันก็ได้ช่วยให้ผมสามารถที่จะคาดคะเนถึงการเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาต่อไปได้เป็นอย่างดีจนน่าประหลาดใจเลยทีเดียว