เกริ่นนำ
หนังสือ “ถอดรหัสเซียนหุ้น : กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์” เล่มนี้นั้น แปลจากต้นฉบับหนังสือ How to trade in stocks by Jesse L. Livermore Duel, Sloan & Pearce, 1940 Original โดยที่ผม มนสิช จันทนปุ่ม (มด แมงเม่าคลับ) ขออนุญาติสงวนลิขสิทธิ์ในการดัดแปลงแก้ไข และใช้งานเพื่อการค้าต่างๆตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านสามารถทำการแชร์และแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้อ่านได้โดยสะดวกทั่วกัน
โดยที่ซีรี่ส์บทความ “ถอดรหัสเซียนหุ้น กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์” ในครั้งนี้นั้น เกิดขึ้นเนื่องจากผมเองได้พบว่ามีนักแปลและสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ได้นำเอางานแปลของผมไปดัดแปลงเพื่อทำประโยชน์ทางการค้าโดยมิได้ขออนุญาติกับผมก่อน ตามรายละเอียดในลิงค์นี้
คำชี้แจงเกี่ยวกับหนังสือ How to Trade in Stocks ของ Jesse Livermore ที่ผมเคยได้แปลไว้…
Publiée par แมงเม่าคลับ แบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น sur Jeudi 20 juin 2019
Update : เรื่องการโดนนำเนื้อหาการแปลหนังสือ How to Trade in Stocks ที่ผมได้เคยแปลไว้ไปดัดแปลงพิมพ์จำหน่าย…
Publiée par แมงเม่าคลับ แบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น sur Mardi 9 juillet 2019
ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะนำงานแปลต้นฉบับของผมทั้งหมดลงไว้ในเว็บไซต์แมงเม่าคลับแห่งนี้ เพื่อเป็นการส่งมอบความรู้ให้กับทุกท่านโดยสาธารณะ (แต่ขออนุญาติสงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผมก่อนนะครับ)
หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่านครับ :D
บทที่ 1 : ความท้าทายแห่งการเก็งกำไร
กล่าวได้ว่าความท้าทายของการเก็งกำไรนั้นถือเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจมากที่สุดอย่างหนึ่งในโลกก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่เกมสำหรับคนโง่เขลา, คนเกียจคร้าน, คนสติไม่สมประกอบ หรือแม้กระทั่งคนที่ต้องการแสวงหาความร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืน พวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องจบลงด้วยการสิ้นเนื้อประดาตัวด้วยกันทั้งสิ้น
ภายในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ แม้ว่าผมเองแทบจะไม่เคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ที่ต้องพบเจอกับบรรดาคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่นัก แต่ภายหลังจากที่ผมได้ทักทายกับพวกเขาอย่างเป็นกันเองแล้ว พวกเขาก็มักที่จะหยอกล้อและถามกับผมขึ้นมาว่า
“ผมจะทำเงินจากตลาดหุ้นได้อย่างไรบ้าง?”
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ผมเองก็มักที่จะพยายามอธิบายอย่างละเอียดให้พวกเขาได้รู้ซึ้งถึงความยากลำบากที่ใครสักคนจะต้องเจอหากว่าพวกเขาคาดหวังที่จะสามารถทำกำไรออกไปจากตลาดได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว หรือไม่ผมก็จะพยายามเบี่ยงประเด็นการสนทนาไปอย่างสุภาพที่สุด อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังๆมานี้ผมก็มักที่จะให้คำตอบแบบกำปั้นทุบดินกลับไปว่า
“ผมไม่ทราบครับ”
มันเป็นการยากเหลือเกินที่คุณจะต้องพยายามอดทนกับบรรดาผู้คนเหล่านี้ เหตุผลแรกก็คือ คำถามจำพวกนี้มักไม่ได้มาจากคนที่อุทิศตัวศึกษาหลักของการลงทุนและการเก็งกำไรมาอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งหากเปรียบเทียบกันแล้วมันก็คงไม่ต่างอะไรกับการที่คนธรรมดาทั่วๆไปที่จะปรึกษากับทนายหรือแพทย์ผ่าตัดว่า
“ผมจะทำเงินอย่างรวดเร็วจากการว่าความหรือการผ่าตัดได้อย่างไรบ้าง?”
อย่างไรก็ตาม ผมเองมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่ายังคงมีผู้คนอีกมากมายที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการลงทุนและการเก็งกำไรในตลาดหุ้นอย่างจริงจังอยู่ ซึ่งพวกเขาก็พร้อมที่จะทำการฝึกฝนและเรียนรู้อย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งผลการลงทุนที่น่าพอใจขอเพียงแต่ให้พวกเขาได้รับคำแนะนำไปในทิศทางที่ถูกต้องเท่านั้น และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ได้ถูกเขียนขึ้นมานั่นเอง
มันเป็นความตั้งใจของผมเองที่จะนำเอาประสบการณ์สำคัญต่างๆตลอดชีวิตการเก็งกำไรของผมมารวบรวมเข้าด้วยกันไว้ พวกมันเป็นบทเรียนที่เต็มไปด้วยความสำเร็จและความล้มเหลว และสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ได้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของทฤษฏีเกี่ยวกับองค์ประกอบทางด้านจังหวะเวลาในการเก็งกำไรของผม ซึ่งผมถือว่ามันคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จในการเก็งกำไรของผมเลยก็ว่าได้
แต่ก่อนที่เราจะไปกันไกลเกินกว่านี้ ขอให้ผมได้กล่าวเตือนกับพวกคุณไว้ก่อนว่า ดอกผลแห่งความสำเร็จของคุณนั้นจะเป็นไปตามความซื่อสัตย์และความจริงใจที่คุณมีต่อตัวของคุณเองในการที่จะทำการจดบันทึกราคาหุ้น, ครุ่นคิดในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น รวมถึงการสรุปหาเหตุผลของมันด้วยตัวของคุณเอง เพราะคุณนั้นไม่สามารถที่จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการ “ทำอย่างไรให้ร่างกายของคุณดูดี” และมีร่ายกายที่สวยงามขึ้นมาได้โดยปล่อยให้ผู้อื่นบริหารร่างกายของคุณแทน เฉกเช่นเดียวกับการที่คุณไม่อาจมอบหมายหน้าที่ในการจดบันทึกราคาหุ้นให้ตกเป็นของผู้อื่นได้หากว่าคุณนั้นเชื่อมั่นและต้องการที่จะทำการวิเคราะห์โดยรวบรวมเอาองค์ประกอบทางด้านของ “เวลา” และ “ราคา” ตามวิธีการของผม ซึ่งกฎต่างๆเหล่านี้ก็ได้ถูกอธิบายเอาไว้ในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้เรียบร้อยแล้ว
ผมเองสามารถเพียงที่จะชี้แนะแนวทางให้กับคุณได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผมก็คงจะมีความสุขเป็นอย่างมากหากว่าคำแนะนำของผมนั้นสามารถที่จะช่วยให้คุณทำเงินออกไปจากตลาดได้มากกว่าตอนที่คุณได้นำมันเข้ามา
สำหรับเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้นั้น ผมได้เขียนมันขึ้นมาก็เพื่อที่จะทำให้บุคคลธรรมดาโดยทั่วไปซึ่งกำลังมีความสนใจที่จะเข้ามาทำการเก็งกำไรในตลาดหุ้น ได้เข้าใจถึงประเด็นและแนวคิดบางอย่างที่ผมได้เก็บสะสมและรวบรวมเอาไว้มาตลอดชั่วชีวิตของการเป็นนักลงทุนและนักเก็งกำไรของผม เพราะใครก็ตามที่มีความสนใจที่จะเข้ามาทำการเก็งกำไรในตลาดนั้น ก็ควรที่จะมีมุมมองเกี่ยวกับมันในฐานะของการทำธุรกิจในรูปแบบหนึ่งและคอยดูแลรักษามันเอาไว้ให้เป็นอย่างดีโดยไม่ถือว่ามันเปรียบเสมือนกับการพนันเต็มรูปแบบอย่างที่หลายๆคนได้เข้าใจ ซึ่งหากว่าสมมติฐานของผมที่ว่าการเก็งกำไรเปรียบเสมือนกับการทำธุรกิจแบบใดแบบหนึ่งนั้นถูกต้องแล้ว ใครก็ตามที่ต้องการจะเข้ามาสู่วงการแห่งนี้ย่อมควรที่จะต้องมุ่งมั่นในการเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันอย่างสุดความสามารถด้วยข้อมูลทั้งหมดที่เขามี และจากช่วงเวลากว่าสี่สิบปีที่ผมได้ทุ่มเทให้กับการเก็งกำไรเพื่อที่จะทำให้มันกลายเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จออกมาได้นั้น ทำให้ผมได้ค้นพบกับกฎต่างๆและยังคงค้นพบกฎใหม่ๆเพื่อที่จะนำมาปรับใช้กับธุรกิจการเก็งกำไรของผมได้อยู่เสมอมา
มันเป็นเวลาหลายต่อหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนที่ผมมักจะเข้านอนทั้งที่ยังสงสัยว่าเหตุใดผมจึงยังไม่สามารถที่จะมองเห็นถึงการเคลื่อนไหวของตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แต่แล้วในที่สุดผมก็มักที่จะต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืดของวันใหม่พร้อมกับความคิดที่ได้ผุดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ผมเองนั้นแทบทนไม่ไหวที่จะต้องอดใจรอให้ถึงยามเช้าเพื่อที่จะเริ่มตรวจสอบถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผมเคยได้จดบันทึกเอาไว้เพื่อที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่าแนวคิดใหม่ๆของผมนั้นมีความถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งในกรณีส่วนใหญ่แล้ว พวกมันก็มักที่จะห่างไกลจากความถูกต้องเต็ม 100% อยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม ข้อดีบางประการของพวกมันก็จะถูกเก็บเอาไว้ภายในจิตใต้สำนึกของผม และในบางครั้งแล้วเมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะช่วยก่อให้เกิดเป็นความคิดใหม่ๆขึ้นมา ซึ่งผมก็จะพยายามพิสูจน์ถึงความเป็นไปได้ของพวกมันในทันทีทุกๆครั้ง
ในภายหลังเมื่อแนวคิดต่างๆเหล่านี้ค่อยๆตกผลึกออกมาอย่างเป็นลำดับ สิ่งต่างๆเหล่านี้จึงทำให้ผมสามารถที่จะพัฒนาวิธีการจดบันทึกการเคลื่อนไหวของตลาดออกมาได้อย่างชัดเจน และมันก็ได้ช่วยให้ผมสามารถที่จะใช้มันเป็นเข็มทิศนำทางในตลาดได้นั่นเอง
ทฤษฏีและวิธีการต่างๆที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับตลาดได้จริงๆของผมนั้น ได้ช่วยพิสูจน์ให้ผมเห็นเป็นที่น่าพอใจออกมาแล้วว่า มันไม่เคยมีปรากฏการณ์ใดๆที่แปลกใหม่เกิดขึ้นในธุรกิจของการเก็งกำไรหรือแม้กระทั่งกับการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เลย นั่นก็เพราะมันยังคงจะมีช่วงเวลาอันเหมาะสมที่คุณควรจะทำการเก็งกำไรในตลาดอยู่เสมอ และแน่นอนว่ามันก็ยังจะมีช่วงเวลาที่คุณไม่ควรจะทำการเก็งกำไรอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน มีสุภาษิตอยู่บทหนึ่งได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า
“คุณอาจสามารถเอาชนะเดิมพันการแข่งม้าได้ในบางครั้ง แต่คุณไม่สามารถที่จะเอาชนะเดิมพันการแข่งม้าได้ในทุกๆครั้ง”
และนี่ก็เป็นความจริงแท้ของการเก็งกำไรในตลาดหุ้นด้วยเช่นเดียวกัน นั่นก็เพราะถึงแม้ว่ามันจะมีช่วงเวลาที่คุณจะสามารถทำกำไรจากการลงทุนหรือจากการเก็งกำไรในตลาดหุ้นอยู่เสมอ แต่คุณก็ไม่สามารถที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในทุกๆวันหรือทุกๆสัปดาห์ในแต่ละปี และจะมีแต่คนโง่ไร้สติเท่านั้นที่พยายามจะทำมัน เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะทำได้และไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆนั่นเอง
ในการที่ใครก็ตามจะสามารถทำการลงทุนหรือการเก็งกำไรให้ประสบความสำเร็จได้นั้น เขาผู้นั้นจะต้องรู้จักที่จะวินิจฉัยว่าการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในคราวต่อๆไปของหุ้นตัวที่เขาสนใจอยู่จะเป็นเช่นใด นั่นก็เพราะการเก็งกำไรนั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการพยายามที่จะคาดคะเนถึงการเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปเลย โดยในการที่เขาจะสามารถคาดคะเนมันได้อย่างถูกต้องเหมาะสมนั้น เขาย่อมจำเป็นต้องมีรากฐานของแนวคิดที่ชัดเจนในการที่จะคาดคะเนถึงสิ่งต่างๆเหล่านั้นออกมาได้ ยกตัวอย่างเช่น เขาต้องรู้จักคิดวิเคราะห์ถึงผลกระทบจากสิ่งต่างๆ, สภาวะของตลาด หรือผลพวงจากข่าวสารบางอย่างที่ได้ถูกเผยแพร่ออกมาสู่สาธารณชนว่าพวกมันมีความเกี่ยวข้องกับตลาดอย่างไร นอกจากนี้แล้ว เขายังต้องรู้จักที่จะคาดคะเนถึงผลกระทบของสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับจิตใจของคนหมู่มากอีกด้วย (โดยเฉพาะกับกลุ่มของมวลชวนซึ่งอยู่ในขอบเขตที่เราให้ความสนใจ)
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคุณจะเชื่อว่ามันน่าจะทำให้เกิดสภาวะของตลาดกระทิงหรือตลาดหมีขึ้นมาได้ แต่ก็จงอย่าเชื่อมั่นในความเห็นของคุณและเดิมพันจนหมดหน้าตักไปตั้งแต่แรกจนกว่าที่การเคลื่อนไหวของตลาดจะได้ยืนยันความเห็นของคุณเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่เกิดขึ้นนั้นอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณเชื่อว่ามันควรจะเป็นไป ยกตัวอย่างเช่น หลังจากที่ตลาดได้ตกอยู่ภายใต้แนวโน้มใดแนวโน้มหนึ่งมาสักพักแล้ว ข่าวสารในเชิงบวกหรือเชิงลบที่เกิดขึ้นบางอย่างอาจไม่ได้มีผลกระทบใดๆต่อตลาดในขณะนั้นอีกต่อไป เนื่องจากสภาวะของตลาดในช่วงเวลานั้นอาจกำลังตกอยู่ในภาวะของความโลภหรือความกลัวอย่างที่สุดก็เป็นได้ และนั่นก็อาจทำให้ผลกระทบของข่าวสารบางอย่างที่เกิดขึ้นถูกมองข้ามไป ซึ่งในช่วงเวลาเหล่านี้เองที่รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอดีตที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันจะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างประเมินไม่ได้สำหรับนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรเลยทีเดียว โดยเมื่อช่วงเวลานี้มาถึง เขาต้องรู้จักที่จะเพิกเฉยต่อความคิดเห็นส่วนตัวของเขาและเพ่งความสนใจไปที่พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของตลาดเท่านั้น นั่นก็เพราะตลาดนั้นไม่เคยที่จะผิด แต่สิ่งที่ผิดมักจะเป็นความเห็นของตัวเราเอง
จงจำไว้ให้ดีว่าความเห็นเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าสำหรับนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรจนกว่าที่ตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับความคิดของพวกเขา ไม่มีใครหรือแม้แต่กลุ่มคนใดๆที่จะสามารถสร้างหรือทำลายสภาวะของตลาดในภาพใหญ่ได้ นอกจากนี้แล้ว ถึงแม้ว่าใครบางคนนั้นอาจจะมีความเห็นบางอย่างกับหุ้นบางตัว โดยที่เขาเชื่อว่ามันจะต้องเกิดการเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เขาคาดเอาไว้และในที่สุดแล้วมันก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ แต่บางทีเขาก็อาจยังต้องประสบกับการขาดทุนอยู่เช่นเคยจากการที่เขาทึกทักเอาเองหรือกระทำการใดๆล่วงหน้าไปก่อนจนเร็วเกินไป
นั่นก็เพราะเมื่อเขาเชื่อว่ามันจะต้องเกิดขึ้นแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะลงมือทำมันลงไปในทันที แต่ในที่สุดเขาก็กลับต้องพบว่าหลังจากที่เขาได้ตัดสินใจลงไปแล้ว ราคาของหุ้นตัวนั้นก็ได้วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม หลังจากนั้นตลาดก็เริ่มที่จะหยุดนิ่งลง มันจึงทำให้เขาท้อแท้จนต้องตัดสินใจที่จะถอยออกมา แต่แล้วเพียงไม่กี่วันต่อมา ราคาของมันก็เริ่มที่จะดูดีขึ้นอีกครั้งและทำให้เขาตัดสินใจกระโดดเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ช้าไม่นานหลังจากที่เขาได้กระโดดเข้าไปในตลาดนั้นราคาของมันก็ได้วิ่งไปคนละทางกับที่เขาคาดคิดอีกครั้ง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาก็คือ เขาเริ่มที่จะเกิดความสงสัยในความคิดของเขาและถอยออกมาจากตลาด จนท้ายที่สุดแล้ว ราคาของมันก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง แต่จากการที่เขาได้เคยเร่งรีบจนเกินไปและเคยตัดสินใจผิดพลาดไปถึงสองครั้งสองครา เขาจึงสูญเสียความกล้าหาญลงไปเป็นอย่างมาก มันจึงเป็นการยากเหลือเกินสำหรับเขาที่จะต้องตัดสินใจทำบางอย่างลงไป อย่างไรก็ตาม ในคราวนี้ราคาของหุ้นที่เขาได้เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็เกิดการเคลื่อนไหวที่แท้จริงของมันขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่เขาก็กลับไม่ได้ถือหุ้นตัวนั้นอีกต่อไปแล้ว
ประเด็นที่ผมต้องการจะเน้นย้ำก็คือ หลังจากที่เราได้วิเคราะห์และตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งหรือหุ้นหลายๆตัวอย่างชัดเจนเรียบร้อยแล้ว จงอย่าวิตกกังวลจนเกินไปในการที่จะกระโดดเข้าไปเก็งกำไรกับหุ้นตัวนั้น แต่จงเฝ้ารอคอยและสังเกตถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวหรือทิศทางการเคลื่อนไหวของมันและจงทำสิ่งต่างๆไปตามหลักการพื้นฐานที่เราได้ยึดมั่นเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าหุ้นตัวหนึ่งถูกซื้อขายกันอยู่ในช่วงราคาประมาณ $25.00 โดยมีขอบเขตของการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านมาอยู่ระหว่าง $22.00 ถึง $28.00 โดยสมมติต่อไปอีกว่า คุณมีความเชื่อมั่นว่าในที่สุดแล้วราคาของมันควรที่จะวิ่งขึ้นไปซื้อขายกันอยู่ที่ราคาราวๆ $50.00 (โดยในขณะนี้มันถูกซื้อขายกันอยู่ที่ $25.00 ซึ่งจากความเห็นของคุณแล้วมันควรจะมีราคาอยู่ที่ $50.00) ขอให้คุณจงมีความอดทนอดกลั้นและรอคอยจนกว่าที่ราคาของมันจะเริ่มเคลื่อนไหวอย่างคึกคักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็จนกว่าที่มันจะทำจุดสูงสุดครั้งใหม่อีกครั้งหลังจากที่ราคาของมันได้วิ่งขึ้นไปแตะอยู่แถวๆ $30.00 ให้ได้เสียก่อน
เนื่องจาก ณ จุดนี้ มันจะเป็นจุดที่พิสูจน์ให้คุณได้เห็นว่าทิศทางของตลาดที่คุณคาดการณ์เอาไว้นั้นได้เริ่มต้นขึ้นมาแล้ว อีกทั้งราคาของหุ้นก็ได้เข้าสู่สภาวะที่แข็งแกร่งอย่างมากด้วยเช่นกัน เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น มันก็คงจะไม่สามารถวิ่งขึ้นมาอยู่ที่ราคา $30.00 ได้อย่างแน่นอน ผลจากการที่มันได้ประพฤติตัวเช่นนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้อย่างมากว่ามันกำลังที่จะวิ่งขึ้นไปอย่างชัดเจน หรือพูดอีกอย่างก็คือการเคลื่อนไหวของมันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และนี่ก็คือช่วงเวลาอันเหมาะสมที่คุณควรจะเดิมพันในสิ่งที่คุณคิดลงไป จงอย่าปล่อยให้การที่คุณไม่ได้เข้าซื้อมันไว้ตั้งแต่แรกที่ราคา $25.00 มาทำให้สถานการณ์ของคุณย่ำแย่ลงไปอีก เนื่องจากถึงแม้ว่าคุณจะเคยได้เข้าซื้อมันไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่มันก็มีโอกาสอย่างสูงที่คุณอาจต้องรู้สึกเหนื่อยล้ากับการรอคอย และคุณก็อาจตัดสินใจที่จะถอยออกมาก่อนที่การเคลื่อนไหวที่แท้จริงของมันจะเริ่มต้นขึ้นก็ได้ นอกจากนี้แล้ว จากการที่คุณเคยได้ขายมันทิ้งไปที่ราคาต่ำๆ มันก็อาจทำให้คุณรู้สึกไม่พอใจและตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีกครั้งในเวลาที่คุณควรจะทำเช่นนั้น
ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่า กำไรก้อนใหญ่จากการเก็งกำไรมักเกิดขึ้นจากการที่คุณตัดได้สินใจทุ่มเงินลงไปในหุ้นที่สามารถทำกำไรให้คุณได้ตั้งแต่แรกเริ่ม โดยหลังจากที่ผมได้ยกตัวอย่างขั้นตอนในการเก็งกำไรของผมแล้ว คุณจะสังเกตได้ว่าผมมักที่จะตัดสินใจเริ่มเข้าซื้อไม้แรกในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทางจิตวิทยา ซึ่งนั่นก็คือช่วงเวลาที่พลังการเคลื่อนไหวของมันนั้นรุนแรงมากๆจนมันจำเป็นที่จะต้องวิ่งต่อไป โดยที่พลังเหล่านี้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำของผม แต่มันเกิดขึ้นจากพลังที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของหุ้นตัวนั้นและมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องวิ่งต่อไปนั่นเอง อย่างไรก็ตาม มันยังคงมีช่วงเวลาอยู่หลายต่อหลายครั้งที่ผมหรือบรรดานักเก็งกำไรคนอื่นๆไม่สามารถที่จะอดทนและรอคอยการมาถึงของโอกาสที่มีความแน่นอนได้เนื่องจากความรู้สึกที่ต้องการจะทำกำไรกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคุณก็อาจถามขึ้นมาว่า
“ด้วยประสบการณ์ต่างๆที่คุณได้เก็บสะสมมานั้น เหตุใดคุณจึงยังปล่อยให้ตัวเองทำเช่นนั้นอยู่อีก?”
คำตอบของผมก็คือ นั่นเป็นเพราะผมเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งย่อมต้องตกอยู่ภายใต้ความอ่อนแอของมนุษย์เช่นเดียวกัน และมันก็เหมือนกับนักเก็งกำไรคนอื่นๆ ผมได้ปล่อยให้ความไม่อดทนอดกลั้นนั้นมีอำนาจอยู่เหนือการตัดสินใจที่ดีของผมไป
การเก็งกำไรนั้นมีความคล้ายคลึงกับการเล่นไพ่เป็นอย่างมาก ไม่ว่ามันจะเป็นไพ่โปกเกอร์, ไพ่บริดจ์หรือเกมไพ่อื่นๆ ตรงที่พวกเราแต่ละคนจะถูกครอบงำไปด้วยจุดอ่อนโดยทั่วๆไปของมนุษย์ ซึ่งนั่นก็คือความต้องการที่จะทำกำไรจากเงินในกองกลางทุกๆรอบ และแน่นอนว่าพวกเราก็มักที่จะต้องการเล่นในทุกๆมือของเกมไพ่บริดจ์เช่นกัน นี่คือความอ่อนแอของมนุษย์ที่เราต่างก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกมันในระดับหนึ่งด้วยกันทุกคน และมันก็ได้กลายมาเป็นศัตรูที่ร้ายจากที่สุดสำหรับนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรทุกๆคนเช่นเดียวกัน ซึ่งในที่สุดแล้วหากเราไม่พยายามที่จะอุดช่องว่างตรงนั้นมันก็มักจะนำพาเราไปสู่ความหายนะนั่นเอง
มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ในการที่จะเพ้อฝันหรือหวาดกลัว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณได้ปล่อยให้ความเพ้อฝันและความหวาดกลัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับธุรกิจการเก็งกำไรของคุณขึ้นมา คุณก็จะได้เจอกับภัยอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด นั่นก็เพราะคุณมีแนวโน้มที่จะต้องเจอกับความสับสนที่เกิดจากสภาวะทางอารมณ์ทั้งสองอย่างนี้
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณซื้อหุ้นที่ราคา $30.00 โดยที่ในวันต่อมามันก็ได้วิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนถึงราคา $32.00 หรือ $32.50 คุณจะเริ่มเกิดความกลัวขึ้นว่าหากคุณไม่รีบชิงขายทำกำไรออกมาเสียก่อนในวันข้างหน้าคุณอาจต้องเห็นมันมลายหายไปก็ได้ นั่นจึงทำให้คุณรีบตัดสินใจที่จะชิงทำกำไรก้อนเล็กๆออกมาก่อนทั้งที่ความจริงแล้วมันคือช่วงเวลาที่คุณควรจะเพ้อฝันไปกับผลกำไรที่กำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก
คำถามก็คือ เพราะเหตุใดคุณจึงต้องวิตกกังวลกับการสูญเสียกำไรสองดอลลาร์ที่เกิดขึ้นทั้งๆที่คุณก็ไม่เคยเป็นเจ้าของมันมาก่อนหน้านี้เลย?
หากว่าคุณสามารถที่จะทำกำไรได้ถึงสองดอลลาร์ต่อหุ้นได้ภายในเวลาแค่เพียงวันเดียว คุณก็อาจมีกำไรกลายเป็นสองหรือสามดอลลาร์หรือบางทีอาจเป็นห้าดอลลาร์ภายในเวลาแค่อาทิตย์เดียวก็เป็นได้ จงจำไว้ให้ดีว่าตราบใดที่ราคาหุ้นและตลาดโดยรวมกำลังดูดีอยู่นั้น จงอย่าได้รีบชิงขายทำกำไรออกไปเสียก่อน คุณควรรู้ว่าสิ่งที่คุณคิดนั้นถูกต้อง เพราะหากว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องแล้วคุณก็คงจะไม่มีกำไรขึ้นมาอย่างแน่นอน จงปล่อยให้ผลกำไรวิ่งต่อไปและวิ่งไปพร้อมกับมัน มันอาจเติบโตกลายเป็นกำไรก้อนใหญ่มากๆก็เป็นได้ ตราบใดที่พฤติกรรมของตลาดยังไม่ได้ทำให้คุณต้องวิตกกังวลอะไรนั้น จงมั่นคงต่อการตัดสินใจของคุณและยืนหยัดในสิ่งที่คุณคิดเอาไว้
ในทางกลับกัน สมมติว่าคุณได้เข้าซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา $30.00 และในวันต่อมาราคาของมันได้ตกลงไปเหลือเพียง $28.00 ซึ่งส่งผลให้คุณต้องขาดทุนไปสองเหรียญต่อหุ้นในทันที สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คุณมักจะไม่รู้สึกหวาดกลัวว่าในวันถัดไปคุณอาจจะต้องขาดทุนกลายเป็นสามเหรียญต่อหุ้นหรือมากกว่านั้น แต่คุณมักจะมองว่ามันเป็นเพียงแค่การพักตัวเพียงชั่วคราวของราคาหุ้น โดยที่คุณจะยังมีความมั่นใจเหลืออยู่ว่าในวันรุ่งขึ้นราคาหุ้นจะต้องวิ่งกลับขึ้นมาจนทำให้การขาดทุนนั้นหายไปทั้งๆที่มันเป็นเวลาที่คุณควรจะต้องเริ่มวิตกกังวลเสียด้วยซ้ำ
เนื่องจากการขาดทุนเพียงสองเหรียญตั้งแต่แรกนั้นอาจตามมาด้วยการขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกถึงสองเหรียญในวันถัดไป หรืออาจกลายเป็นห้าหรือสิบเหรียญภายในเวลาเพียงแค่อาทิตย์เดียวก็เป็นได้ นี่จึงเป็นเวลาที่คุณควรที่จะเริ่มหวาดกลัวได้แล้ว เพราะหากว่าคุณไม่ถอยออกมาคุณก็อาจถูกบีบบังคับให้ต้องยอมตัดขาดทุนก้อนใหญ่กว่าเดิมในเวลาไม่ช้า คุณควรต้องรู้ว่านี่คือเวลาที่คุณควรที่จะต้องปกป้องตัวของคุณเองโดยการขายหุ้นที่ถืออยู่ก่อนที่การขาดทุนจะเริ่มบานปลายขึ้นมา
จงจำไว้ให้ดีว่า ผลกำไรที่เกิดขึ้นมักจะคอยดูแลตัวของมันเองอยู่เสมอแต่การขาดทุนกลับไม่เคยเป็นเช่นนั้น นักเก็งกำไรต้องรู้จักที่จะปกป้องตัวของเขาจากการขาดทุนก้อนใหญ่ด้วยการยอมขาดทุนเพียงเล็กน้อยเสียแต่เนิ่นๆ ด้วยการกระทำเช่นนี้แล้วเขาจึงจะสามารถรักษาเงินทุนที่มีอยู่เพื่อโอกาสในภายภาคหน้าได้ และเมื่อเขามีความคิดใหม่ๆเกี่ยวกับการลงทุนขึ้นมานั้น เขาก็ยังจะอยู่ในฐานะที่สามารถจะทำการซื้อขายครั้งใหม่ๆได้เช่นเดิม นอกจากนี้แล้ว เขาก็ยังจะสามารถทำการซื้อขายหุ้นได้เป็นจำนวนเท่าๆกับครั้งก่อนหน้าที่เขาได้เคยตัดสินใจผิดพลาดไปอีกด้วย นักเก็งกำไรนั้นต้องเป็นดั่งนายหน้าประกันภัยให้กับตัวของเขาเอง เพราะหนทางเดียวที่เขาจะสามารถอยู่รอดต่อไปในธุรกิจของการเก็งกำไรได้นั้น ก็คือการที่เขาจะต้องรู้จักปกป้องเงินทุนโดยไม่เปิดโอกาสให้ตัวของเขาเองต้องขาดทุนจนมากเกินไปและก่อให้เกิดความเสียหายต่อการเก็งกำไรในภายภาคหน้าเมื่อการตัดสินใจของเขานั้นถูกต้องขึ้นมา นอกจากนี้แล้ว ถึงแม้ผมจะมีความเชื่อว่านักลงทุนหรือนักเก็งกำไรที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องมีเหตุผลที่ดีเพียงพอก่อนที่จะตัดสินใจกระทำการใดๆลงไปในตลาด แต่ผมก็ยังรู้สึกเช่นกันว่าพวกเขานั้นจำเป็นที่จะต้องรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาควรจะทำการซื้อขายลงไปในครั้งแรกด้วยวิธีการวิเคราะห์หุ้นของพวกเขาอีกด้วย
ขอให้ผมได้กล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ตลาดยังจะเกิดการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนขึ้นมาอีกหลายต่อหลายครั้ง และผมก็เชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าบุคคลที่มีสัญชาติญาณความเป็นนักเก็งกำไรและรู้จักกับการรอคอยนั้น จะสามารถคิดค้นวิธีการบางอย่างที่จะนำมาใช้เพื่อเป็นแนวทางให้เขาสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่าเมื่อไหร่ที่เขาควรจะต้องเริ่มกระทำบางอย่างลงไปในตลาด
การเก็งกำไรให้ประสบความสำเร็จนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากทุกๆอย่างยกเว้นแต่เพียงการคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย โดยในการที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนได้นั้น นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรจำเป็นที่จะต้องมีกฎบางอย่างเพื่อที่จะช่วยนำทางให้กับพวกเขา อย่างไรก็ตาม แนวทางซึ่งผมได้นำมาใช้จนเกิดประโยชน์กับตัวของผมเองนั้นก็อาจไม่มีประโยชน์กับใครก็เป็นได้เช่นกัน
ทำไมนะหรือ? เพราะเหตุใดทั้งที่มันมีค่าอย่างประเมินไม่ได้กับตัวของผม แล้วเหตุใดมันจึงอาจไม่สามารถที่จะเป็นประโยชน์กับตัวของคุณได้อย่างเท่าเทียมกัน?
คำตอบก็เป็นเพราะไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆที่จะมีความถูกต้องแม่นยำเต็ม 100% นั่นเอง แต่เมื่อผมใช้วิธีการของผมนั้นผมย่อมจะรู้ดีว่าสิ่งใดที่ควรต้องเกิดขึ้น และหากว่าหุ้นของผมไม่ทำตัวอย่างที่ผมได้คาดหวังเอาไว้ผมก็จะสามารถรู้ได้ในทันทีว่านี่ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่สุกงอมของมัน ซึ่งนั่นก็จะทำให้ผมตัดสินใจที่จะเลิกข้องเกี่ยวอยู่กับสิ่งนั้น อย่างไรก็ตาม หากว่าในวันต่อมาสมุดบันทึกราคาหุ้นของผมได้บ่งชี้ให้เห็นว่าผมควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันผมก็ยังจะกลับเข้าไปซื้อมันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งบางทีแล้ว ในคราวนี้มันก็อาจจะเป็นครั้งที่ผมตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเต็ม 100% ก็เป็นได้
ผมเองเชื่อว่าใครก็ตามที่ยอมสละเวลาและความยากลำบากเพื่อทำการศึกษาถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เขาผู้นั้นย่อมที่จะสามารถค้นพบกฎเกณฑ์หรือแนวทางบางอย่างซึ่งจะช่วยนำทางให้กับการเก็งกำไรหรือการลงทุนของเขาได้ในที่สุด โดยสำหรับเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้นั้น ผมจะขอนำเสนอแนวคิดบางอย่างซึ่งมีคุณค่ากับวิถีแห่งการเก็งกำไรของผมออกมา
นักค้าหุ้นชั้นยอดหลายๆคนนั้นมักที่จะทำการจดบันทึกแผนภูมิแท่งหรือค่าเฉลี่ยบางอย่างเอาไว้ พวกเขาจะสังเกตพวกมันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะขึ้นหรือลง คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าแผนภูมิแท่งหรือค่าเฉลี่ยเหล่านี้จะช่วยบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาหนึ่งให้กับพวกเขาได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวของผมแล้วแผนภูมิต่างๆเหล่านี้กลับไม่เคยที่จะดึงดูดจิตใจของผมได้เลย ผมคิดว่ามันมักที่จะดูสับสนจนเกินไปเมื่อพวกมันอยู่รวมกัน อย่างไรก็ดี ผมก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งมีความหลงใหลในการที่จะจดบันทึกถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆของตลาดเอาไว้เช่นเดียวกับที่พวกเขาได้เก็บบันทึกตัวเลชต่างๆลงไปในแผนภูมิเหล่านั้นเช่นเดียวกัน ซึ่งบางทีแล้วสิ่งที่พวกเขาทำอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่วิธีการของผมอาจเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมชอบที่จะจดบันทึกถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นก็เนื่องมาจากการที่วิธีการจดบันทึกราคาหุ้นของผมนั้นช่วยให้ผมมองเห็นว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้จนกระทั่งเมื่อผมได้นำเอาองค์ประกอบทางด้านของจังหวะเวลาเข้ามาและทำให้บันทึกราคาหุ้นของผมกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ในการที่จะช่วยให้ผมคาดการณ์ถึงการเคลื่อนไหวที่มีนัยยะสำคัญของตลาดขึ้นมาได้ ผมเองเชื่อมั่นว่าด้วยการจดบันทึกพฤติกรรมของตลาดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงการนำเอาองค์ประกอบทางด้านของจังหวะเวลาเข้ามาประกอบในการตัดสินใจ (ซึ่งผมจะขออธิบายเกี่ยวกับพวกมันในภายหลัง) จะมีส่วนช่วยให้เราสามารถพยากรณ์ถึงการเคลื่อนไหวที่มีนัยยะสำคัญของตลาดได้ในระดับหนึ่ง แต่คุณต้องไม่ลืมว่ามันย่อมที่จะต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการที่จะทำเช่นนั้นได้เช่นเดียวกัน
จงทำตนเองให้คุ้นเคยกับพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นหรือกลุ่มของหุ้นในแต่ละอุตสาหกรรมเสีย และหากว่าคุณสามารถที่จะคาดคะเนถึงองค์ประกอบทางด้านของจังหวะเวลาได้อย่างถูกต้องจากบันทึกของคุณแล้ว ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วคุณก็จะสามารถประเมินได้ว่าเมื่อใดที่การเคลื่อนไหวสำคัญๆนั้นกำลังที่จะเกิดขึ้นมา นอกจากนี้แล้ว หากว่าคุณสามารถวิเคราะห์บันทึกราคาหุ้นของคุณได้อย่างถูกต้องคุณก็จะสามารถเลือกเอาหุ้นนำตลาดของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมออกมาได้ด้วยเช่นเดียวกัน ผมจึงขอย้ำว่าคุณจำเป็นที่จะต้องจดบันทึกสิ่งต่างๆด้วยตัวของคุณเอง คุณต้องเป็นคนที่จดบันทึกตัวเลขที่เกิดขึ้นเหล่านั้นและจงอย่าปล่อยให้ใครจดบันทึกมันแทนคุณ แล้วคุณก็จะต้องแปลกใจเมื่อพบว่าคุณสามารถที่จะค้นพบแนวคิดใหม่ๆอีกมากมายด้วยการทำเช่นนี้ พวกมันจะเป็นแนวคิดใหม่ๆที่ไม่มีใครสามารถให้กับคุณได้เนื่องจากมันคือการค้นพบของคุณเอง มันคือความลับของคุณ และคุณก็ควรที่จะเก็บมันเอาไว้เป็นความลับของคุณเพียงคนเดียวอีกด้วย
ผมได้เขียนถึงสิ่งต่างๆที่ไม่ควรทำสำหรับนักลงทุนและนักเก็งกำไรเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ โดยหนึ่งในกฎข้อสำคัญก็คือการที่คุณไม่ควรจะปล่อยให้การเก็งกำไรของคุณกลายเป็นการลงทุนไป นั่นก็เพราะมีนักลงทุนมากมายเหลือเกินที่มักจะต้องเจอกับการขาดทุนอย่างหนักเพียงเพราะพวกเขาถือว่าพวกเขาได้จ่ายเงินซื้อหุ้นไปแล้วเท่านั้นเอง บ่อยครั้งแค่ไหนแล้วที่คุณมักจะได้ยินบรรดานักลงทุนพูดออกมาว่า
“ผมไม่จำเป็นที่จำต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นหรือการโดนเรียกเติมเงินในบัญชี (มาร์จินคอล) เนื่องจากผมไม่เคยคิดที่จะเก็งกำไร และเมื่อผมได้ตัดสินใจเข้าไปทำการซื้อหุ้นนั้น ผมก็ได้เข้าซื้อมันไปด้วยเหตุผลของการลงทุนในระยะยาว และถึงแม้ว่าราคาของมันอาจตกลงมาแต่ในที่สุดแล้วมันก็จะต้องวิ่งกลับขึ้นไปอย่างแน่นอน”
เรื่องหน้าเศร้าสำหรับนักลงทุนเหล่านี้ก็คือหุ้นหลายๆตัวมักถูกซื้อในช่วงเวลาที่พวกเขาเชื่อว่ามันคือการลงทุนที่ดี ซึ่งในเวลาต่อมาพวกเขาก็กลับต้องพบว่าปัจจัยต่างๆของพวกมันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้หุ้นที่มักถูกเรียกว่า “หุ้นลงทุน” ต้องกลับกลายเป็นหุ้นเก็งกำไรไปโดยปริยาย มิหนำซ้ำแล้วหลายๆบริษัทก็ยังต้องสูญหายออกไปจากตลาดเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่เดิมเคยถูกเรียกว่า “การลงทุน” นั้นได้ละลายหายไปในสายลมพร้อมกับเงินทองของบรรดานักลงทุนทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากการที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ตระหนักว่าสิ่งที่เรียกว่า “การลงทุน” นั้น อาจผูกติดอยู่กับเงื่อนไขบางอย่างที่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นในอนาคต และหากว่าสภาวะเหล่านั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมันก็อาจทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับผลกำไรของหุ้นเหล่านั้นก็เป็นได้ ซึ่งมูลค่าของการลงทุนเหล่านี้ก็มักที่จะหดหายไปอย่างมากเรียบร้อยแล้วก่อนที่บรรดานักลงทุนส่วนใหญ่จะรู้ตัว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนักลงทุนทั้งหลายจึงควรที่จะปกป้องเงินทุนของพวกเขาเฉกเช่นเดียวกับที่บรรดานักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จได้กระทำกัน และหากว่าสิ่งเหล่านี้ได้ถูกนำไปปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายแล้ว บรรดาผู้ที่ชอบเรียกตนเองว่า “นักลงทุน” ก็คงจะไม่ต้องถูกบังคับให้กลายเป็นนักเก็งกำไรกับอนาคตที่เลือนรางโดยไม่ตั้งใจ และพวกเราก็คงจะไม่ต้องเห็นมูลค่าของกองทุนหลายๆแห่งต้องหดหายลงไปเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
คุณคงยังจำกันได้ว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าการนำเงินเข้าไปลงทุนในหุ้นของ The New York, New Haven & Hartford Railroad นั้นมีความปลอดภัยกว่าการฝากเงินของคุณเอาไว้ในธนาคารเฉยๆเสียอีก โดยในช่วงเวลานั้น ณ วันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1902 ราคาของหุ้น New Haven ได้ถูกซื้อขายกันอยู่ที่ราวๆ $255 ต่อหุ้นเลยทีเดียว ในขณะที่เดือนธันวาคมปี ค.ศ. 1906 ราคาหุ้นของ Chicago, Milwaukee & St. Paul ก็ได้ถูกซื้อขายกันอยู่ที่ราวๆ $199.62 ต่อหุ้น และในเดือนมกราคมของปีเดียวกันนั้น ราคาของหุ้น Chicago Northwestern ก็ได้ถูกซื้อขายกันอยู่ที่ราคาแถวๆ $240 ต่อหุ้นอีกด้วย นอกจากนี้แล้ว ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ในปีเดียวกัน ราคาหุ้นของ Great Northern Railway ก็ได้ถูกซื้อขายกันอยู่ที่ราวๆ $348 ต่อหุ้น และหุ้นทุกตัวเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีการจ่ายปันผลกันเป็นอย่างดีทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามเมื่อคุณลองมองมาที่บรรดา “หุ้นลงทุน” เหล่านี้ในปัจจุบัน คุณจะพบว่าในวันที่ 2 เดือนมกราคม ค.ศ. 1940 พวกมันได้ถูกซื้อขายกันที่ราคาดังต่อไปนี้ :
New York, New Haven & Hartford Railroad – $0.50 ต่อหุ้น, Chicago Northwestern – $0.31 ต่อหุ้น, Great Northern Railway – $26.62½ และสำหรับราคาของหุ้น Chicago, Northwestern นั้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีราคาซื้อขายที่ถูกบันทึกไว้ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1940 แต่ในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1940 ราคาซื้อขายของมันก็ได้ถูกบันทึกเอาไว้ที่เพียง $0.25 ต่อหุ้นเท่านั้น
มันเป็นการง่ายมากๆที่คุณจะไล่เรียงรายชื่อของหุ้นเป็นร้อยๆตัวที่ได้รับการยอมรับกันว่าเป็นหุ้นที่มีอนาคตสดใสในยุคของผม แต่กลับแทบไม่มีค่าหรือไร้ราคาอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อสิ่งที่เรียกว่าการลงทุนที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้มลง โชคชะตาและทรัพย์สมบัติของผู้ที่เรียกตนเองว่านักลงทุนเชิงอนุรักษ์นิยมนั้นก็ย่อมต้องถูกถ่ายเทออกไปด้วยเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าบรรดานักเก็งกำไรทั้งหลายจะสูญเสียเงินของพวกเขาไปบ้างในตลาดหุ้น แต่ผมก็ยังเชื่อว่ามันคงไม่ผิดอะไรนักที่จะกล่าวว่าเงินทองที่ได้สูญเสียไปจากการเก็งกำไรนั้น ช่างน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับความสูญเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับบรรดานักลงทุนที่ปล่อยให้การลงทุนของเขาต้องขาดทุนมลายหายไปจนหมดสิ้น
จากมุมมองของผมนั้น นักลงทุนนั้นเปรียบได้กับนักพนันรายใหญ่ พวกเขาจะวางเดิมพัน, จมอยู่กับมัน และหากว่ามันได้เกิดความผิดพลาดไป พวกเขาก็ยอมที่จะต้องสูญเสียเงินทั้งหมดไป แต่สำหรับนักเก็งกำไรแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเข้าซื้อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับบรรดานักลงทุนทั้งหลาย แต่หากว่าเขาเป็นนักเก็งกำไรที่ฉลาดเพียงพอเขาก็ย่อมที่จะตระหนักได้ว่าสัญญาณอันตรายต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นกำลังคอยเตือนให้พวกเขารู้ว่ามีบางอย่างกำลังผิดปกติไป (หากว่าพวกเขารู้จักที่จะจดบันทึกราคาหุ้น) และนั่นก็จะทำให้เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่เหมาะสมโดยการจำกัดการขาดทุนที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุดและเฝ้ารอคอยโอกาสครั้งใหม่ที่มีความเหมาะสมมากกว่าเพื่อที่จะได้กลับเข้าไปเก็งกำไรในตลาดอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อราคาของหุ้นเริ่มที่จะไหลต่ำลงไปเรื่อยๆนั้น จงรู้ว่าไม่มีใครที่จะสามารถคาดการณ์ได้ว่ามันจะลงไปสิ้นสุดที่ราคาเท่าไหร่ และไม่มีใครที่จะสามารถพยากรณ์ถึงจุดสูงสุดของตลาดหุ้นในขณะที่แนวโน้มใหญ่ของมันยังคงเป็นขาขึ้นอยู่ได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม มีแนวคิดบางอย่างที่คุณควรจะจำเอาไว้และให้ความสำคัญกับมันเป็นอย่างยิ่ง
อย่างแรกก็คือ จงอย่าได้ขายหุ้นเพียงเพราะราคาของมันดูเหมือนว่าจะสูงเกินไป นั่นเพราะสักวันหนึ่งแล้วคุณอาจจะได้พบเจอกับการที่ราคาของหุ้นบางตัวได้วิ่งขึ้นไปจาก 10 เหรียญจนถึงที่ราคา 50 เหรียญ และคิดไปเองว่ามันคือราคาที่สูงเกินไปจนควรที่จะขายทำกำไรไปเสีย ทั้งที่จริงๆแล้วมันคือระดับราคาที่คุณควรจะคิดในมุมกลับกันว่า มีปัจจัยอะไรบ้างหรือไม่ที่จะหยุดยั้งมันจากการวิ่งขึ้นไปจากราคา 50 เหรียญจนไปถึงราคา 100 เหรียญภายใต้สภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของผลกำไรและการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยมของมันแทน จงจำไว้ให้ดีว่ามีผู้คนมากมายที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวจากการขายชอร์ทหุ้นเมื่อพวกมันได้วิ่งขึ้นมาอย่างยาวนานเนื่องจากพวกเขาคิดไปเองว่าราคาของมัน “สูงจนเกินไป”
ในทางกลับกัน จงอย่าได้ซื้อหุ้นเพียงเพราะราคาของมันได้ตกลงมาอย่างมากจากจุดสูงสุดในรอบที่แล้วของมัน เนื่องจากมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าราคาที่ร่วงหล่นลงมาอย่างรุนแรงของมันย่อมต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมในตัวของมันเองอยู่ก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นตัวนั้นอาจกำลังถูกซื้อขายกันในราคาที่แพงสุดๆถึงแม้ว่าระดับราคาของมันในขณะนี้อาจดูเป็นหุ้นที่มีราคาถูกมากๆก็ตาม ขอให้คุณจงพยายามลืมระดับราคาที่สูงที่สุดในรอบที่แล้วของมันไปเสีย จงพยายามวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของมันด้วยการนำเอาระดับของราคาหุ้นและจังหวะเวลาเข้าไว้ด้วยกัน
มันอาจเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับใครหลายๆคนในการที่จะได้รู้ว่าสำหรับวิธีการซื้อขายหุ้นของผมนั้น เมื่อผมสังเกตจากบันทึกราคาหุ้นของผมได้ว่าแนวโน้มของตลาดได้กลายเป็นขาขึ้นแล้ว ผมจะเริ่มกวาดซื้อหุ้นอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เมื่อราคาของมันพุ่งทะลุจุดสูงสุดเดิมขึ้นไป และแน่นอนว่าผมก็ทำเช่นนั้นในทางตรงกันข้ามเมื่อผมขายชอร์ทหุ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ทำไมน่ะหรือ?
นั่นก็เป็นเพราะผมจะพยายามทำสิ่งต่างๆไปตามแนวโน้มที่เกิดขึ้นในขณะนั้น นอกจากนี้แล้วบันทึกราคาหุ้นของผมก็ได้บอกให้ผมกระโจนลงไปเช่นเดียวกัน จงจำไว้ให้ดีว่าผมไม่เคยที่จะซื้อหุ้นเมื่อมันพักตัวและผมไม่เคยที่จะขายชอร์ทเมื่อหุ้นกำลังวิ่งขึ้นไปอีกด้วย
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกกับคุณเอาไว้ นั่นก็คือมันช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาเหลือเกินที่คุณจะทำการซื้อหรือขายหุ้นในทิศทางเดิมซ้ำอีกเป็นครั้งที่สองหากว่าการซื้อขายในครั้งแรกของคุณยังคงจมอยู่กับการขาดทุน จงอย่าได้คิดเฉลี่ยการขาดทุนที่เกิดขึ้นเป็นอันขาด ผมขอให้คุณจงจดจำมันเอาไว้ในจิตใจอย่าได้ลบเลือน