ทุกๆอย่างบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลาในการสร้างขึ้นมา … ไม่เว้นแม้แต่ผลกำไรของคุณ!!
ผมเสียดายที่นักเล่นหุ้นหลายๆคนไม่เคยเข้าใจในจุดนี้ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขามักเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจก่อนเวลาอันควรอยู่เสมอ ผลลัพท์ก็คือคนส่วนใหญ่จึงมักไม่เคยจะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันเสียทีในตลาดหุ้น
คุณไม่จำเป็นต้องเห็นผลกำไรในทันทีหลังจากซื้อหุ้น
เป็นธรรมดาที่ไม่ว่าใครก็คงอยากจะเห็นผลกำไรเป็นบวกตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มซื้อหุ้นเข้ามาในพอร์ท อย่างไรก็ตาม สัญญาณจากระบบการลงทุนทุกๆรูปแบบนั้นต่างก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสมในการคายผลกำไรของมันอยู่ บางสัญญาณนั้นอาจเหมือนกับนักวิ่งลมกรดซึ่งออกตัววิ่งสปรินท์ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่อีกสัญญาณหนึ่งอาจเหมือนกับนักวิ่งมาราธอนซึ่งออกตัวช้ากว่าแต่ไปได้ไกลกว่าก็เป็นได้ แน่นอนว่าสัญญาณทุกๆรูปแบบมีลักษณะพิเศษของมันซึ่งเป็นข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง ดังนั้นหน้าที่ของ Trader ที่ดีคือการเข้าใจธรรมชาติและพฤติกรรมจากระบบการลงทุนของพวกเขาให้มากที่สุด
ภาพด้านบนแสดงตัวอย่างให้เห็นถึง %Win ตามระยะเวลาการถือครองหุ้น (Holding Period) จากระบบ Turtle System 2 Simplify ซึ่งถือเป็นตัวแทนของระบบ Trend Following ในระยะกลาง
เราจะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่วันหลังจากที่เกิดสัญญาณซื้อขึ้นมานั้น อัตราส่วน %Win จะยังไม่สูงเท่าไหร่นักซึ่งอยู่ที่ราว 40% (หรือพูดง่ายๆก็คือสัญญาณกว่าครึ่งจะขาดทุนอยู่) จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปราว 13 วัน %Win จะเริ่มสูงขึ้นเกินกว่า 50% เป็นครั้งแรกและจะค่อยๆทรงตัวอยู่ราวๆนั้นเมื่อ Holding Period ยาวขึ้นไป และแน่นอนว่าระยะเวลาที่สัญญาณจากระบบนี้จะเริ่มแสดงประสิทธิภาพของมันก็คือตั้งแต่ราวๆ 20 วันขึ้นไปนั่นเอง เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว มันก็คงจะเป็นเรื่องงี่เง่ามากๆหากคุณจะยังคงนั่งจ้องหุ้นลุ้นให้มันเป็นกำไรตั้งแต่วันแรกๆที่เข้าซื้อหุ้นไปจริงไหมครับ ^^
* เมื่อเห็นข้อมูลจากกราฟนี้แล้วคุณจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเหตุใดเมื่อคุณเข้าซื้อหุ้นตามระบบ Trend Following คุณจึงมักจะรู้สึกว่าซื้อทีไรติดดอยทุกที (โดยเฉพาะช่วงแรกๆหลังจากเข้าซื้อ) ซึ่งนั่นก็เพราะสัญญาณการ Breakout มักจะต้องเจอกับการแกว่งตัวของราคาจนร่วงลงมาในช่วงเริ่มต้นก่อนที่จะค่อยๆวิ่งไต่ไปตามแนวโน้มของมันอีกครั้ง
** การตั้งจุดขายหรือ Stop Out จึงควรจะสัมพันธ์กับช่วงของ Holding Period ที่ให้ผลกำไรดีที่สุด มิเช่นนั้นหุ้นของคุณจะต้องหลุดมือไปโดยไม่จำเป็นครั้งแล้วครั้งเล่า หรือแย่ที่สุดคือระบบจะขาดทุนเพียงเพราะเราตัดขาดทุนเร็วเกินไป
แม้ระบบที่ดีก็อาจไม่สามารถทำกำไรได้ตั้งแต่ช่วงแรก
ว่ากันว่าโดยเฉลี่ยแล้ว นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่มักทนการขาดทุนจากระบบการลงทุนได้อย่างมากก็เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น ความอดทนที่ต่ำมากๆเช่นนี้ถือเป็นลักษณะพิเศษของแมงเม่าโดยทั่วๆไปในตลาดมาอย่างยาวนาน ซึ่งพฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากการขาดทุนติดๆกันเพียงไม่กี่ครั้งหรือไม่กี่เดือนก็คือการพยายามหาแนวคิดใหม่ๆหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของระบบการลงทุนไปๆมาๆ จนในที่สุดแล้วเมื่อระบบถึงช่วงเวลาทำกำไรของพวกมัน … พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว!
ภาพตัวอย่างด้านบนแสดงให้เห็นถึงผลกำไรรายเดือนของระบบ Turtle System 2 Simplify โดยที่ช่องสีส้มแสดงให้เห็นเมื่อเกิดการขาดทุนติดกันมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป ส่วนสีแดงและสีเขียวคือผลกำไรขาดทุนในแต่ละปี
คุณจะเห็นได้ว่าถึงแม้ในระยะยาวนั้นระบบได้ให้ผลกำไรตอบแทนเหนือผลตอบแทนของตลาดไปหลายช่วงตัว (CAGR ราว 39% ต่อปี) แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ การมีผลกำไรที่เป็นบวกในระยะยาวนั้นไม่ได้แปลว่าระบบจะต้องทำกำไรได้ในทุกๆเดือนหรือทุกๆปี มิหนำซ้ำแล้วระบบยังมีช่วงเวลาที่ขาดทุนติดๆกันยาวถึง 5 เดือนอีกด้วย และช่วงเวลาเหล่านี้นี่เองที่มักจะทำให้พวกแมงเม่าที่พยายามจะใช้ระบบอย่างฉาบฉวยมักจะพูดออกมาว่า
“ระบบนี้มันไม่ได้เรื่อง”
ยิ่งไปกว่านั้นลองคิดดูสิครับว่า หากคุณคาดหวังเอาไว้ว่าระบบจะต้องทำกำไรตั้งแต่เดือนแรกหรือปีแรกที่คุณใช้ระบบมันจะเกิดอะไรขึ้น คำตอบก็คือคุณอาจขายหมูระบบดีๆทิ้งไปเพียงเพราะว่าคุณเริ่มต้นใช้มันในช่วงเวลาที่มันเกิด Drawdown ขึ้นมาพอดี!
ผมคงต้องบอกว่ากรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียวและระบบการลงทุนก็เช่นกัน อย่าหวังว่าระบบหรือสัญญาณการซื้อขายของคุณจะต้องทำกำไรภายในทันทีหรือไม่กี่วัน ทุกระบบทุกสัญญาณมีช่วงเวลาของมันอยู่ จงหามันให้เจอเสียก่อนที่จะนำระบบมาใช้ และอย่าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่า “ระบบเวิรค์ แต่คนไม่เวิรค์” เกิดขึ้นกับเราอีกต่อไปครับ ^_^