บทความนี้เรามาต่อกันเรื่องของสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นกำลังเอื้ออำนวยต่อการทำกำไรให้จบกันดีกว่าครับ
ท้าวความเดิมตอนที่แล้ว
จาก บทความในตอนที่แล้ว ผมได้พูดถึงการวิเคราะห์ตลาดจากแนวโน้มระยะสั้นของ SET index ด้วย Peak and Trough ที่ 1% เอาไว้ และผลตอบแทนจากระบบแมงเม่า SET Buy ก็สามารถที่จะเอาชนะผลตอบแทนของตลาดไปได้อยู่หลายช่วงตัว ในตอนนี้เรามาพูดกันอีก 2 สัญญาณที่เหลือกันอย่างรวดเร็วกันเลยดีกว่าครับ โดยสัญญาณต่อไปนี้คือสัญญาณแบบ Trend Following ที่ในระยะยาวแล้วให้สัญญาณได้แม่นยำมากกว่าการโยนเหรียญที่ 50% อีกด้วยครับ
Benchmark เพื่อวัดผลในการวิเคราะห์
ผลตอบแทนของ SET index ตั้งแต่วันที่ 4/1/2000 – 22/6/2012 โดยสมมุติง่ายๆว่าหากเรามีเงินทุนตั้งต้น 1 ล้านบาทแล้วซื้อหุ้นตัวหนึ่ง (ซึ่งในที่นี้คือ SET index) ผลตอบแทนและความเสี่ยงจะออกมาดังนี้
CAGR หรือผลตอบแทนทบต้นของ SET index – 7.09% ต่อปี
Net Profit หรือผลตอบแทนสุทธิของ SET index – 135.1%
Max DD. หรือการลดลงสูงสุดของมูลค่าเงินทุนในระหว่างการลงทุน – 58.01%
MAR Ratio หรือผลตอบแทนทบต้น CAGR ต่อ MaxDD – 0.12
Ending Capital หรือเงินทุนสิ้นสุดการลงทุน – 2,351,021 บาท
ข้อสังเกตประการที่ 2 : ดัชนีจำนวนหุ้นที่เกิดการ Breakout และ Breakdown สุทธิในแต่ละวัน (52 Weeks BOBD Composite)
สำหรับเทคนิคการสังเกตตลาดในรูปแบบนี้ เราจะนำเอาจำนวนหุ้นที่เกิดการ Breakout ณ จุดสูงสุดในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมาและหุ้นที่เกิดการ Breakdown ณ จุดต่ำสุดของมันในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา นำมาคิดหักลบกันเพื่อหาค่าสุทธิของมันออกมา
กราฟ SET index ที่เป็นสีเขียวแสดงให้เห็นถึงภาวะที่ตลาดเอื้ออำนวยและสีส้มแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ตลาดไม่สู้ดีนัก โดย Indicator ด้านล่างเป็นค่าดัชนี 52 weeks BOBD ในแต่ละวันที่ผมเขียนขึ้นมาให้สังเกตความสอดคล้องของมันกับสภาวะตลาดกัน เส้นสีน้ำเงินคือค่าสุทธิในแต่ละวัน เส้นแนวนอนสีดำคือเส้นค่า 0, เส้นเขียวคือค่า +5 และสีแดงคือค่า –5 นั่นเองครับ
ตัวอย่างของหุ้นที่เกิดการเบรคเอาท์ใน 1 ปี (52 Weeks Breakout และ Breakdown)
กรณีของการเกิด 52 weeks Breakout ลูกศรสีน้ำเงินคือสัญญาณ Breakout ที่เกิดขึ้น
กรณีของการเกิด 52 weeks Breakdown ลูกศรสีแดงคือสัญญาณ Breakdown ที่เกิดขึ้น
หลักการวิเคราะห์ตลาดหุ้นด้วยดัชนี BOBD
แก่นง่ายๆของแนวคิดการวิเคราะห์ตลาดหุ้นด้วยดัชนี BOBD ก็คือสมมุติฐานที่ว่า เมื่อตลาดหุ้นมีภาวะที่ดีและเอื้ออำนวยต่อการทำกำไรนั้น หุ้นในตลาดส่วนใหญ่ที่มีพื้นฐานกิจการที่ดีจะถูกกวาดซื้อด้วยความมั่นใจของนักลงทุนในตลาด ส่งผลให้พวกมันสามารถที่จะวิ่งผ่านแนวต้านใหญ่ของพวกมันขึ้นไปได้ (ในกรณีนี้คือ 1 ปีหรือ 52 สัปดาห์) และในทางกลับกันแล้วเมื่อจิตวิทยาของตลาดไม่เอื้ออำนวยนั้น หุ้นหลายๆตัวที่พื้นฐานไม่ค่อยดีนักจะพากันถูกเทขายโดยนักลงทุนจนทำให้ราคาของมันหลุดแนวรับใหญ่ของพวกมันไปนั่นเอง
สภาวะที่เอื้ออำนวย = ดัชนี BOBD มีค่ามากกว่า 0 หรือมีหุ้น Breakout สุทธิในแต่ละวันมากกว่า 0 ตัว
สภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย = ดัชนี BOBD มีค่าต่ำกว่า 0 หรือมีหุ้น Breakdown สุทธิในแต่ละวันมากกว่า 0 ตัว
ในคราวนี้เราลองจับสัญญาณที่เกิดขึ้นมาทำระบบกันบ้างดีกว่า
ระบบแมงเม่า BOBD
Position Size = 5% ของเงินทุน
Buy = กวาดซื้อหุ้นเมื่อดัชนี BOBD มีค่าเหนือ +5 (เส้นเขียว) ในราคา Open ของเช้าวันถัดไป
Sell = ขายหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมดเมื่อดัชนี BOBD มีค่าต่ำกว่า –5 ในราคา Open ของเช้าวันถัดไป
Ranking = เนื่องจากเงินทุนของเราไม่สามารถที่จะกว้านซื้อหุ้นทั้งตลาดได้ในคราวเดียว ผมได้ให้ระบบเลือกหุ้นที่อยู่ใกล้จุดสูงสุดภายใน 1 ปีของมันตามลำดับไล่ลงไปเรื่อยๆจนกว่าเงินจะหมดครับ
Commission = 0.25% ต่อครั้งรวม 0.5% ต่อรอบ
*** ระบบนี้ไม่มีการปรับแต่งอย่างอื่นเพิ่มเติมใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากต้องการที่จุดได้ผลที่บริสุทธิที่สุดของมันออกมานะครับ
ผลตอบแทนของระบบจากสัญญาณดัชนี BOBD
- CAGR – ระบบ 25.11% vs. SET index 7.09%
- Net Profit – ระบบ 1534.96% vs. SET index 135.1%
- Max DD. – ระบบ 28.24% vs. SET index 58.01%
- MAR Ratio – ระบบ 0.89 vs. SET index 0.12
- Ending Capital – ระบบ 16,349,597 vs. SET index 2,351,021
บทสรุปผลของระบบจากสัญญาณของดัชนี BOBD
ระบบเมื่อมอง CAGR แล้วจะค่อนข้างสูงแต่ Max DD. ก็ค่อนข่างสูงด้วยเช่นกัน จึงส่งผลให้ค่า MAR Ratio ลดต่ำลงมากว่า 1 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจก็คือช่วงของ Flat Period หรือช่วงที่ระบบหยุดทำงาน จะเห็นได้ว่ามันช่วยดีดให้ตัวเราหลุดออกมาจากขาลงหรือ Sideway ได้ดีพอสมควรเลยทีเดียวครับ
เอาล่ะครับ เหนื่อยกันหรือยัง เพราะยังเหลืออีก 1 ข้อสังเกต ถ้าเหนื่อยก็พักกันนิดนึงก่อนนะครับ อิอิ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เอาล่ะครับ เรามาต่อกันกับสัญญาณต่อไปให้จบเรื่องนี้กันดีกว่า
ข้อสังเกตประการที่ 3 : กระแสเงินทุนของต่างชาติดัชนี Fundflow ง่ายๆสไตล์แมงเม่าคลับ
ผมเห็นเซียนหุ้นหลายต่อหลายคนมักให้ข้อแนะนำว่าให้สังเกตกระแสเงินทุนของต่างชาติที่ไหลเข้าไหลออกจากตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม คำแนะนำเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ Make Sense และเราก็มักจะเห็นความสอดคล้องของมันกันโดยทั่วไป แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครที่จับเรื่องนี้มาทำให้เป็นรูปธรรมเป็นตัวเลขที่จับต้องได้นัก ซึ่งความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยากหรือซับซ้อนจนเกินไปครับ
เส้น Indicator สีน้ำเงินที่เห็นอยู่ด้านล่างกราฟของดัชนี SET index นั้นคือ Indicator ที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยยอดซื้อ (Forbuy) และยอดขาย (Forsell) โดยนำเอาผลรวมสุทธิของพวกมันในแต่ละวันมาคิดบวกกันย้อนหลังไป 10 วัน โดยเมื่อค่าดัชนี Fundflow มีค่ามากกว่า 0 นั้นจะแสดงให้เห็นว่าภายใน 10 วันที่ผ่านมาเงินทุนของฝรั่งนั้นไหลเข้าตลาดมากกว่าออก และเมื่อต่ำกว่าค่า 0 นั้นแสดงว่าฝรั่งกำลังเริ่มทยอยขายดึงเงินออกจากตลาดหุ้นนั่นเองครับ
หลักการวิเคราะห์ตลาดหุ้นด้วยดัชนีแมงเม่า Fundflow
แนวคิดสำคัญของหลักการวิเคราะห์ในรูปแบบนี้คือการอยู่ข้างเดียวกับคนส่วนน้อยหรือ Minority ในตลาดหุ้น โดยที่คนส่วนน้อยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยตลอดมาในความคิดของผมก็คงจะหนีไม่พ้นพวกกองทุนต่างชาตินั่นเองครับ เพราะพวกเขามักที่จะทำการซื้อขายในลักษณะที่ต่อเนื่องในทางใดทางหนึ่งเป็นช่วงๆมากกว่าที่จะซื้อขายสะเปะสะปะไปเรื่อยเหมือนนักลงทุนจำพวกอื่นๆในตลาด และนั่นทำให้เม็ดเงินของพวกเขามีผลกับทิศทางของตลาดอยู่พอสมควรเลยทีเดียวครับ
ฝรั่งอัดเงินเข้า = ยอดซื้อขายสุทธิภายใน 10 วันของต่างชาติเป็น +
ฝรั่งดึงเงินออก = ยอดซื้อขายสุทธิภายใน 10 วันของต่างชาติเป็น –
เอาล่ะครับ ลองจับสัญญาณมาทำระบบกันดูบ้างดีกว่า
ระบบแมงเม่า Fundflow
Position Size = 5% ของเงินทุน
Buy = กวาดซื้อหุ้นเมื่อดัชนี Fundflow มีค่าเหนือ 0 ในราคา Open ของเช้าวันถัดไป
Sell = ขายหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมดเมื่อดัชนี Fundflow มีค่าต่ำกว่า 0 ในราคา Open ของเช้าวันถัดไป
Ranking = เนื่องจากเงินทุนของเราไม่สามารถที่จะกว้านซื้อหุ้นทั้งตลาดได้ในคราวเดียว ผมได้ให้ระบบเลือกหุ้นที่อยู่ใกล้จุดสูงสุดภายใน 1 ปีของมันตามลำดับไล่ลงไปเรื่อยๆจนกว่าเงินจะหมดครับ
Commission = 0.25% ต่อครั้งรวม 0.5% ต่อรอบ
*** ระบบนี้ไม่มีการปรับแต่งอย่างอื่นเพิ่มเติมใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากต้องการที่จุดได้ผลที่บริสุทธิที่สุดของมันออกมานะครับ
ผลตอบแทนของระบบจากสัญญาณดัชนี Fundflow
- CAGR – ระบบ 22.24% vs. SET index 7.09%
- Net Profit – ระบบ 1123.76% vs. SET index 135.1%
- Max DD. – ระบบ 23.63% vs. SET index 58.01%
- MAR Ratio – ระบบ 0.94 vs. SET index 0.12
- Ending Capital – ระบบ 12,237,572 vs. SET index 2,351,021
บทสรุปผลของระบบจากสัญญาณของดัชนีแมงเม่า Fundflow
ข้อสังเกตที่น่าสนใจจากสัญญาณ Fundflow ของต่างชาติที่ผมคิดว่าหลายๆคนน่าจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากกราฟแสดงตัวอย่าง Indicator ก็คือ หากพวกฝรั่งต่างชาตินี่ไม่ใช่พวกตื่นตูมก็คงจะต้องบอกว่าพวกเขาสามารถที่จะทำการขายหุ้นได้อย่างรวดเร็วหลังจากจุด Peak ของรอบได้ดีเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามลักษณะการซื้อขายตามดัชนีที่เกิดขึ้นนี้ก็ค่อนข้างที่จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าสัญญาณอื่นๆอยู่พอสมควร นั่นอาจทำให้คนที่ไม่ชอบการซื้อขายบ่อยๆถูกใจเท่าไหร่นัก แต่ผลการทดสอบในเบื้องต้นของระบบที่ออกมาก็ยังคงแสดงให้เห็นว่าพวกมันสามารถที่จะทำกำไรเหนือกว่า Benchmark จาก SET index ได้อยู่เยอะพอสมควรเช่นเดิม
ข้อคิดที่ผมอยากฝากถึงเพื่อนๆที่อ่านแมงเม่าคลับ
ความจริงแล้วผมคิดว่าผลตอบแทนทั้งหลายที่ได้นำมาให้ดูกันนั้น คงจะไม่สำคัญเท่ากับแนวคิดที่ผมต้องการจะแสดงให้เห็นว่าบางทีแล้วในการจะทำกำไรจากตลาดหุ้นด้วยแนวคิดของ Technical Analysis อาจไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการอ่านกราฟหุ้นแบบเป็นตัวๆไปก็เป็นได้ จากตัวอย่างของแนวคิดที่ผ่านๆมานั้นมีลักษณะเป็นการจับนำข้อมูลอื่นๆที่หลายคนไม่ได้ความสนใจและรายย่อยธรรมดาๆยากที่จะเข้าถึงมาจับต้นชนปลายให้กลายเป็นสัญญาณที่จับต้องเป็นรูปธรรมทางตัวเลขที่ออกมา มันก็แสดงให้เห็นว่าเรามีโอกาสที่จะทำกำไรจากตลาดได้เช่นเดียวกัน (และอาจจะเป็นแนวคิดที่ Robust กว่าเนื่องจากหลายคนเข้าไม่ถึง) ผมเชื่อว่ายังคงมีอีกหลายหนทางที่เราสามารถจะนำมาทำเป็น Indicator ในการวิเคราะห์ตลาดได้เป็นอย่างดีและไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเพียงแค่แนวคิดเดิมๆที่เราคุ้นชินกันอยู่ตลอดเวลาก็ได้ครับ