พวกเราหลายคนมักที่จะชอบใช้ Indicator กันอย่างหลาย น่าเสียดายว่าหลายๆคนมักหลงลืมไปว่าแท้จริงแล้ว Indicator ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือผลกำไร-ขาดทุนของเราเอง ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเมื่อเรามองไปที่มัน เรายังชอบที่จะจ้องมองแต่ผลกำไรที่เกิดขึ้นโดยหลีกเลี่ยงที่จะสังเกตถึงการขาดทุนของเราไป นี่เป็นมุมมองที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง เพราะการขาดทุนเป็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่ง และเมื่อเรารู้สึกถึงความสวยงามของมันได้แล้ว การขาดทุนที่เกิดขึ้นก็จะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป
การขาดทุนคือคำบอกใบ้ของตลาด
ตามทฤษฏีการวิวัฒนาการของ Charles Darwin นั้น กลไกของการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection) คือกระบวนการคัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมที่จะอยู่รอด และสืบพันธุ์จนได้ลักษณะที่เหมาะสมที่สุด มันทำให้ลักษณะที่ไม่เหมาะสมค่อยๆเหลือน้อยลงไปในธรรมชาติ กลไกนี้เกิดขึ้นเพื่อคัดเลือกลักษณะของประชากรที่เกิดประโยชน์ในการสืบพันธุ์สูงสุด และเช่นเดียวกันนี้ตลาดหุ้นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับโลกใบหนึ่ง มันคือสภาพแวดล้อมชนิดหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นหลายๆตัวซึ่งมีทั้งตัวที่แข็งแรงและอ่อนแอ มันยังคงเกิดการวิวัฒนาการในตัวของมันเองอยู่เสมอ และถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้เรายังคงไม่สามารถที่จะค้นพบวิธีการที่จะทำนายตลาดได้อย่างแม่นยำ 100% ก็ตาม (Holy Grail) แต่ข่าวดีก็คือตลาดยังคงบอกใบ้กับเราอยู่เสมอหากว่าเราเลือกที่จะมองมันนั่นเอง
เมื่อคุณได้เข้าซื้อหุ้นไปแล้วไม่มีใครบอกกับคุณได้อย่างแน่นอนทุกครั้งว่าคุณจะมีกำไรหรือขาดทุน แต่สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือคุณจะต้องมีกำไรหรือขาดทุนขึ้นมาอย่างแน่นอน โดยส่วนใหญ่แล้วกำไรที่เกิดขึ้นนั้นก็มักที่จะดูแลตัวมันเองได้ไม่ต่างอะไรจากสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งสักเท่าไหร่นัก … แต่การขาดทุนกลับไม่เป็นเช่นนั้น โชคดีอีกครั้งที่การขาดทุนของคุณกลับกลายเป็นคำบอกใบ้ของตลาด เพราะอะไรน่ะหรือ? แล้วตลาดกำลังบอกอะไรกับเรา?
โอกาสของการวิวัฒนาการ
การขาดทุนที่เกิดขึ้นคือโอกาสของการวิวัฒนาการที่ตลาดได้หยิบยื่นให้กับเรา มันกำลังบอกให้เรารู้ว่านี่คือโอกาสอันดีที่เราจะโยกย้ายเงินทุนไปสู่สิ่งมีชีวิต (หุ้น) ที่แข็งแรงกว่า, รวดเร็วกว่า และเป็นมิตรต่อเรามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม คำถามก็คือเราจะมีโอกาสดีๆเช่นนี้อยู่สักกี่ครั้งหรือ? และคำตอบของมันก็คือ …
ตลอดเวลา!
นี่เป็นประดิษฐกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของตลาด ไม่ต่างอะไรกับที่ Steve Jobs ศาสดาของสาวกชาวแอปเปิ้ล (โดนกัด) ได้เคยกล่าวไว้ว่าความตายคือประดิษฐ์กรรมที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ เพราะมันคือการให้กำเนิดโอกาสครั้งใหม่สำหรับคนในยุคต่อๆไป และมันก็คือโอกาสครั้งใหม่สำหรับพอร์ทของคุณเช่นเดียวกัน ซึ่งคุณเองอาจไม่เคยรู้ตัวเลยว่าในหลายๆครั้งแล้วเมื่อคุณขาดทุนขึ้นมา การตัดขาดทุนของคุณและโยกย้ายเงินทุนไปสู่หุ้นตัวใหม่อาจส่งผลให้คุณมีกำไรมากมายกว่าเดิมเป็นอย่างมากก็เป็นได้
เคยถามตัวคุณเองบ้างไหมว่าหุ้นตัวสุดท้ายที่ทำกำไรให้คุณได้อย่างมโหฬารเกิดขึ้นได้อย่างไร?
อย่างน้อยมันต้องเกิดขึ้นจากการที่คุณมีเงินไปซื้อมันนั่นเอง …
แล้วคุณจะมีเงินสดตรงนั้นได้อย่างไรถ้ามือคุณไม่ว่างและยังเต็มไปด้วยหุ้นที่อ่อนแออยู่เช่นเดิม?
คำตอบก็คือคุณได้ขายหุ้นแย่ๆที่คุณอาจหลงลืมไปแล้วทิ้งไปจริงไหม!
ตลาดทำให้คุณเจ็บปวด … ถีบคุณทิ้งออกมา … เพราะมันต้องการจะส่งให้คุณไปในที่ที่ดีกว่าเดิมนั่นเอง
คุณเข้าใจสิ่งที่มันต้องการจะบอกบ้างไหม?
การ (ตัด) ขาดทุนคือสิ่งที่สวยงาม
คราวต่อไปขออย่าให้คุณได้หลับหูหลับตามไม่สนใจสิ่งที่ตลาดกำลังบอกคุณอีกเลย ถึงแม้ว่ามันอาจดูเจ็บปวด … แต่ความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่สวยงามอย่างยิ่ง ตลาดกำลังให้โอกาสคุณ! และให้โอกาสคุณอยู่เสมอเมื่อคุณตัดสินใจผิดพลาดไป!! มันจะยังคงหยิบยื่นโอกาสเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่จะมีแต่คนที่มองเห็นความสวยงามของมันได้เท่านั้น ที่จะได้รับประโยชน์จากประดิษฐกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของมันอยู่เช่นเคย
หนึ่งในความสวยงามของการตัดขาดทุน : สุ่มเข้าซื้อหุ้นใน SET100 ด้วยการโยนเหรียญตั้งแต่ 1/1/2544 – 1/1/2554 เงินตั้งต้น 1 ล้านบาท กำหนดขนาดการลงทุนครั้งละ 5% ของพอร์ท ตัดขาดทุนที่ 10% จากราคาซื้อ หากหุ้นวิ่งขึ้นต่อไปใช้ Trailing Stop ที่ 20% ผลตอบแทน CAR : 38.37% คิดเป็นกำไร 2468.19% หรือราวๆ 24 เท่า
ปล. ผลในแต่ละครั้งอาจไม่เท่ากันเนื่องจากเป็นการสุ่มเข้าซื้อไม่ควรลอกเลียนแบบ ผมเพียงต้องการจะชี้ให้เห็นว่าเพียงแค่คุณกล้ามองไปที่การขาดทุนแล้วตัดเนื้อร้ายทิ้งเสีย คุณก็อาจเห็นการ (ตัด) ขาดทุนเป็นสิ่งที่สวยงามอย่างผมได้เช่นกัน
ปล2. ต้องขอขอบคุณ +Manop Pithukpakorn ที่ช่วยจุดประเด็นรวมถึง +bavorn hongsrichinda สำหรับไอเดียที่ทำให้นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่งด้วยครับ :D