fbpx
ถอดรหัสเซียนหุ้น กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์

ถอดรหัสเซียนหุ้น กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์ – บทที่ 4 : ผลกำไรในมือ

Google+ Pinterest LinkedIn Tumblr

เกริ่นนำ

หนังสือ “ถอดรหัสเซียนหุ้น : กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์” เล่มนี้นั้น แปลจากต้นฉบับหนังสือ How to trade in stocks by Jesse L. Livermore Duel, Sloan & Pearce, 1940 Original โดยที่ผม มนสิช จันทนปุ่ม (มด แมงเม่าคลับ) ขออนุญาติสงวนลิขสิทธิ์ในการดัดแปลงแก้ไข และใช้งานเพื่อการค้าต่างๆตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านสามารถทำการแชร์และแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้อ่านได้โดยสะดวกทั่วกัน

โดยที่ซีรี่ส์บทความ “ถอดรหัสเซียนหุ้น กุญแจแห่งการเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์” ในครั้งนี้นั้น เกิดขึ้นเนื่องจากผมเองได้พบว่ามีนักแปลและสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ได้นำเอางานแปลของผมไปดัดแปลงเพื่อทำประโยชน์ทางการค้าโดยมิได้ขออนุญาติกับผมก่อน ตามรายละเอียดในลิงค์นี้

คำชี้แจงเกี่ยวกับหนังสือ How to Trade in Stocks ของ Jesse Livermore ที่ผมเคยได้แปลไว้…

Publiée par แมงเม่าคลับ แบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น sur Jeudi 20 juin 2019

Update : เรื่องการโดนนำเนื้อหาการแปลหนังสือ How to Trade in Stocks ที่ผมได้เคยแปลไว้ไปดัดแปลงพิมพ์จำหน่าย…

Publiée par แมงเม่าคลับ แบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น sur Mardi 9 juillet 2019

 

ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะนำงานแปลต้นฉบับของผมทั้งหมดลงไว้ในเว็บไซต์แมงเม่าคลับแห่งนี้ เพื่อเป็นการส่งมอบความรู้ให้กับทุกท่านโดยสาธารณะ (แต่ขออนุญาติสงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผมก่อนนะครับ)

หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่านครับ :D


บทที่ 4 : ผลกำไรในมือ

ภายหลังจากที่ผลกำไรก้อนใหญ่ได้ตกอยู่ในมือของคุณแล้ว จงอย่าได้มอบหมายมันให้ผู้อื่นจัดการเป็นอันขาด

ไม่ว่าคุณจะต้องจัดการกับเงินเป็นล้านๆหรือเพียงไม่กี่พันเหรียญ นี่ถือเป็นกฎที่ยังจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อยู่เสมอ เพราะมันคือเงินทองของคุณเอง และมันยังจะเป็นของคุณไปอีกนานเท่านานตราบเท่าที่คุณยังรู้จักปกป้องมันเอาไว้ อย่างไรก็ตาม การเก็งกำไรโดยผิดหลักการนั้นก็ถือเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้เงินทองของคุณหายไปได้อย่างมากมายที่สุดเช่นกัน

ความสูญเสียที่เกิดจากความผิดพลาดของบรรดานักเก็งกำไรที่ไร้ฝีมือนั้นถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกันโดยทั่วไป ผมเคยได้กล่าวเตือนอยู่เสมอถึงความพยายามที่จะเฉลี่ยการขาดทุนที่เกิดขึ้นเพราะนี่เป็นสิ่งที่นิยมทำกันอย่างกว้างขวางมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าผู้คนส่วนใหญ่ได้เข้าไปซื้อหุ้นที่ราคา 50 เหรียญ และหลังจากนั้นอีกเพียงสองถึงสามวันหากพวกเขาพบว่าพวกเขาสามารถซื้อมันเพิ่มได้ในราคา 47 เหรียญแล้วล่ะก็ พวกเขาจะรีบฉกฉวยโอกาสนั้นในทันทีด้วยการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีกหนึ่งพันหุ้น และนั่นจะทำให้พวกเขามีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 48½ เหรียญ แต่ความจริงแล้วการที่คุณได้เคยเข้าซื้อมันไปที่ราคา 50 เหรียญเป็นจำนวนหนึ่งพันหุ้นและกลับต้องเจอกับการขาดทุนถึงสามเหรียญต่อหุ้นในทันทีนั้น มันมีเหตุผลอันใดที่คุณจะต้องเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีกหนึ่งพันหุ้นเพื่อให้เกิดความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหากราคาของมันยังตกลงไปจนเหลือเพียงแค่ 44 เหรียญ? เนื่องจาก ณ จุดนั้นจะเท่ากับว่าคุณจะขาดทุนถึง $600 กับหนึ่งพันหุ้นในไม้แรกและขาดทุนอีก $300 กับหนึ่งพันหุ้นในไม้ที่สองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

หากว่าใครได้นำเอาหลักการที่ไม่เข้าท่านี้ไปใช้แล้วล่ะก็ เขาก็คงจะพยายามเฉลี่ยการขาดทุนไปเรื่อยๆโดยการเข้าซื้อหุ้นอีกสองร้อยหุ้นที่ราคา 44 เหรียญ, อีกสี่ร้อยหุ้นที่ราคา 41 เหรียญ, อีกแปดร้อยหุ้นที่ราคา 38 เหรียญ, อีกหนึ่งพันหกร้อยหุ้นที่ราคา 35 เหรียญ, อีกสามพันสองร้อยหุ้นที่ราคา 32 เหรียญ, อีกหกพันสี่ร้อยหุ้นที่ราคา 29 เหรียญ และเขาก็คงจะทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆหากว่าราคาหุ้นยังคงตกลงไป แน่นอนว่าหากมันเป็นหลักการที่เข้าท่าจริงๆเขาก็ควรที่จะต้องทำมันโดยไม่เลิกล้มกลางคันไปเสียก่อน แต่คำถามก็คือคุณคิดว่าจะมีนักเก็งกำไรสักกี่คนที่จะสามารถแบกรับแรงกดดันขนาดนั้นได้? และถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผิดปกติขนาดนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆนัก แต่ความผิดปกติเช่นนี้เองมิใช่หรือ คือสิ่งที่นักเก็งกำไรทุกๆคนควรที่จะต้องปกป้องตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงจากความหายนะเอาไว้

ดังนั้นแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากเข้าซื้อถัวเฉลี่ยซ้ำๆอย่างยาวนานเช่นนี้ ผมจึงขอย้ำเตือนให้พวกคุณอย่าได้คิดที่จะทำการถัวเฉลี่ยการขาดทุนอีกเป็นอันขาด

เท่าที่ผมรู้นั้น คำแนะนำจากโบรคเกอร์ที่ใช้ได้จริงอยู่เสมอก็คือการโดนเรียกเติมเงินในบัญชี (Margin Call) โดยเมื่อไหร่ที่มันได้มาถึงหูของคุณแล้วล่ะก็ จงทำการปิดบัญชีของคุณเสีย เพราะนั่นแปลว่าคุณกำลังอยู่ผิดที่ผิดทางในตลาดเป็นอย่างมาก และมีเหตุผลอันใดที่คุณจะต้องวางเงินเพิ่มเข้าไปในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างนั้นหรือ? จงเก็บรักษาเงินทุนที่เหลืออยู่เอาไว้ในภายภาคหน้า และจงนำมันไปเสี่ยงกับบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจกว่าข้อตกลงที่คุณพ่ายแพ้อย่างชัดเจนเสียดีกว่า

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้นจะพยายามกระจายสินค้าของเขาไปยังลูกค้าหลายๆราย และเขาจะไม่พยายามที่จะขายสินค้าทั้งหมดให้กับลูกค้ารายใดเพียงรายเดียวเท่านั้น นั่นก็เพราะกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายย่อมจะหมายถึงความเสี่ยงที่จะถูกกระจายออกไปได้มากยิ่งขึ้น เฉกเช่นเดียวกันนี้เอง ใครก็ตามที่ได้เข้ามาเกี่ยวพันกับธุรกิจของการเก็งกำไรนั้น ก็ควรที่จะยอมเสี่ยงเงินทุนเพียงบางส่วนลงไปในการลงทุนใดๆเช่นกัน เพราะสำหรับนักเก็งกำไรแล้วเงินสดของเขาก็เหมือนกับสินค้าที่วางอยู่บนแผงของร้านค้านั่นเอง

ข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของนักลงทุนส่วนใหญ่ก็คือการพยายามที่จะสร้างความมั่งคั่งในเวลาที่รวดเร็วจนเกินไป โดยแทนที่พวกเขาจะพยายามทำกำไรจากเงินทุนที่มีอยู่ให้ได้ 500% ภายในสองถึงสามปี แต่พวกเขากลับพยายามที่จะทำมันให้ได้ในช่วงเวลาเพียงแค่สองถึงสามเดือนเท่านั้น และถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำมันได้จริงๆขึ้นมา แต่จะมีนักเก็งกำไรที่บ้าบิ่นเช่นนี้สักกี่คนที่จะสามารถรักษามันเอาไว้ได้? คำตอบก็คือไม่มีทางเลย เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะเงินที่พวกเขาได้มามันเป็นเงินที่ร้อนจนเกินไป พวกมันมักวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วแต่จะอยู่กับพวกเขาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น และมันก็มักจะทำให้นักเก็งกำไรพวกนี้ขาดสามัญสำนึกต่อความสมดุลของพวกเขาไป และพวกเขาก็มักที่จะพูดกันว่า

“ในเมื่อผมสามารถที่จะทำกำไรได้ถึง 500% จากเงินทุนที่ผมมีอยู่ภายในช่วงเวลาเพียงแค่สองเดือน ลองคิดดูสิว่าอีกสองเดือนผมจะทำได้อีกเท่าไหร่! ผมจะต้องรวยล้นฟ้าอย่างแน่นอน”

นักเก็งกำไรจำพวกนี้มักไม่เคยที่จะพึงพอใจกับสิ่งที่เขามีอยู่ พวกเขาจะพยายามฝืนทำกำไรจนถึงจุดๆหนึ่งที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น นั่นก็คือสิ่งที่จะทำให้พวกเขาขาดทุนอย่างมหาศาลอย่างที่ไม่เคยได้คาดคิดมาก่อนและมันก็จะทำลายล้างทุกอย่างให้มลายหายไป ช่วงเวลาเช่นนี้มักที่จะมาถึงเมื่อพวกเขาถูกเรียกให้เติมเงินเข้าไปในบัญชีจากโบรคเกอร์ของพวกเขา และเมื่อพวกเขาไม่สามารถที่จะสนองตอบต่อคำขอนั้นได้ นักเก็งกำไรที่บ้าบิ่นพวกนี้ก็จะหายออกไปจากตลาดเหมือนกับไฟในตะเกียงที่มอดดับลง สุดท้ายแล้วพวกเขาก็อาจต้องพยายามร้องขอเวลาเพื่อหาเงินมาเติมในบัญชีกับโบรคเกอร์ของพวกเขา อย่างไรก็ตามหากว่าพวกเขาไม่ได้โชคร้ายจนเกินไปนัก พวกเขาก็อาจยังพอมีเงินทุนที่เหลืออยู่เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็เป็นได้

นักธุรกิจโดยทั่วไปที่พึ่งเปิดร้านค้าหรือห้างร้านนั้น มักไม่ได้คาดหวังที่จะทำกำไรได้มากไปกว่า 25% ของเงินทุนที่พวกเขาได้ลงทุนไปในปีแรก แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ได้ก้าวเข้ามาในวงการเก็งกำไรนั้น ผลกำไรที่ 25% ต่อปีดูจะเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็เพราะพวกเขามองไปยังผลตอบแทนถึง 100% ต่อปีแทนนั้นเอง ซึ่งแน่นอนว่าการคิดคำนวณของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ พวกเขาพลาดพลั้งที่จะทำให้การเก็งกำไรกลายเป็นเสมือนดั่งการทำธุรกิจและดำเนินกิจการไปตามหลักการที่เหมาะสมอย่างน่าเสียดาย

นอกเหนือไปจากนี้แล้ว สิ่งต่อไปนี้คือประเด็นเล็กๆน้อยๆที่คุณควรที่จะจดจำมันเอาไว้ โดยสิ่งหนึ่งที่นักเก็งกำไรควรจะยึดถือเป็นกฎเหล็กของเขาเอาไว้ก็คือการถอนเอาเงินครึ่งหนึ่งของผลกำไรที่ได้มาจากการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จออกจากตลาดและเก็บรักษามันเอาไว้ให้ดีในบัญชีเงินฝากของเขา นั่นก็เพราะเงินประเภทเดียวที่นักเก็งกำไรในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเคยได้นำออกมาจากตลาดจริงๆก็คือเงินที่ถูกนำออกมาจากบัญชีของเขาหลังจากที่การเก็งกำไรได้ประสบกับความสำเร็จนั่นเอง

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าให้คุณฟัง โดยเมื่อนึกย้อนกลับไปในขณะที่ผมอยู่ในเมืองปาล์มบีชนั้น (Palm Beach) ผมเองได้เดินทางออกจากนิวยอร์คในขณะที่ยังมีคำสั่งขายชอร์ทหุ้นเปิดค้างเอาไว้อยู่ โดยภายหลังจากที่ผมไปถึงปาล์มบีชเพียงไม่กี่วันนั้นตลาดก็ได้เกิดการทรุดตัวลงมาอย่างรุนแรง และนั่นถือเป็นโอกาสทองสำหรับผมในการที่จะทำกำไรจริงๆออกมาจาก “กำไรทางบัญชี” ที่เกิดขึ้นเสียที ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ไม่พลาดที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ

หลังจากที่ตลาดหุ้นได้ปิดลงในวันนั้น ผมได้ส่งข้อความทางผ่านทางโทรเลขไปยังสำนักงานโบรคเกอร์ของผมที่นิวยอร์คเพื่อที่จะให้พวกเขาทำการโอนเงินจำนวนหนึ่งล้านดอลลาร์ไปยังบัญชีเงินฝากของผม โดยหลังจากที่บุรุษโทรเลขได้ทำการส่งข้อความของผมเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น เขาได้ขออนุญาตผมที่จะทำการเก็บกระดาษโน๊ตใบนั้นเอาไว้ ผมจึงได้สอบถามถึงเหตุผลของเขาดู เขาได้กล่าวว่าเขานั้นเป็นบุรุษโทรเลขมาถึงยี่สิบปีแล้ว แต่นี่เป็นข้อความแรกที่เขาได้เคยส่งในลักษณะที่เป็นการขอให้โบรคเกอร์ฝากเงินของลูกค้าไปยังบัญชีของธนาคาร นอกจากนี้เขายังกล่าวต่อไปอีกว่า

“จากข้อความเป็นพันๆข้อความที่เคยถูกส่งออกไปนั้น พวกมันอยู่ในลักษณะของการที่โบรคเกอร์จะขอให้ลูกค้านำเงินเติมเข้ามาเพิ่ม แต่ไม่เคยมีข้อความใดที่เหมือนกับของคุณมาก่อนเลย ผมเลยอยากเอาไปให้เด็กๆได้ดูกันสักหน่อย”

นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าช่วงเวลาเดียวที่นักเก็งกำไรทั่วๆไปจะสามารถนำเงินออกมาจากบัญชีหุ้นของเขาได้นั้น ก็คือช่วงเวลาที่เขาไม่ได้มีการถือหุ้นตัวใดๆอยู่เลยหรือไม่ก็เมื่อเงินทุนของเขาเติบโตจนมากเกินไปแล้ว นั่นก็เพราะเขาไม่สามารถที่จะถอนเงินออกมาได้ในขณะเขากำลังขาดทุนอยู่ เนื่องจากความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินทุนที่เหลืออยู่เพื่อให้เพียงพอกับต้นทุนในการกู้ยืมหรืออัตรามาร์จินของเขานั่นเอง และโดยปกติแล้วเขาก็มักจะไม่ถอนเงินออกมาหลังจากที่การเก็งกำไรของเขาประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากเขามักที่จะพูดกับตนเองว่า

“คราวต่อไปผมจะต้องทำกำไรให้ได้มากกว่าเดิมเป็นสองเท่าให้ได้!”

นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักเก็งกำไรส่วนใหญ่จึงไม่ได้เคยได้จับเงินจริงๆกันเสียที น่าเศร้าเหลือเกินที่สำหรับพวกเขาแล้วเงินทองนั้นเหมือนกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง พวกมันเปรียบเสมือนกับทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนใดๆ แต่สำหรับผมนั้น เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่หลังจากเมื่อการเก็งกำไรของผมได้เสร็จสิ้นลงพร้อมกับความสำเร็จ ผมจะปฏิบัติให้มันเป็นนิสัยของผมในการที่จะถอนเงินออกมาในทุกๆครั้ง ผมเองมักที่จะถอนเงินออกมาราวๆ $200,000 หรือ $300,000 ในแต่ละครั้งเลยทีเดียว มันคือหลักการที่ดีและยังมีค่ากับจิตใจของคุณอีกด้วย จงทำให้มันเป็นนโยบายของคุณเสีย จงเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดของคุณออกมานั่งนับเสียบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าผมได้ทำเช่นนั้น เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าผมมีบางสิ่งอยู่ในมือของผมจริงๆ มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงมันและรู้ว่ามันคือสิ่งที่มีอยู่จริง

ผมต้องขอบอกกับคุณว่า เงินที่อยู่ในบัญชีหุ้นหรือเงินที่อยู่ในบัญชีธนาคารของคุณนั้นไม่มีทางที่จะให้ความรู้สึกเหมือนกับเงินที่คุณได้สัมผัสมันอยู่ในมือสักพักหนึ่ง เพราะเงินในมือของคุณนั้นจะมีความหมายบางอย่างกับคุณขึ้นมา มันจะทำให้คุณรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของและจะทำให้คุณมีแนวโน้มน้อยลงที่จะนำมันไปเสี่ยงอย่างดื้อรั้นจนสูญเสียเงินที่คุณเคยมีไป ดังนั้นแล้ว จงพยายามที่จะสำผัสกับเงินที่คุณมีอยู่เป็นช่วงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่คุณไม่ต้องข้องเกี่ยวอยู่กับตลาดหุ้นนั่นเอง

จำเอาไว้ให้ดีว่า … นี่ถือเป็นเรื่องที่ถูกละเลยอย่างมากสำหรับนักเก็งกำไรโดยทั่วไป

เมื่อไหร่ก็ตามที่นักเก็งกำไรคนใดมีโชคลาภเพียงพอที่จะทำให้เงินทุนของเขาเติบโตขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว เขาก็ควรที่จะถอนเอาผลกำไรครึ่งหนึ่งออกมาในทันทีเพื่อที่จะนำมันไว้ใช้เป็นเงินทุนสำรองอยู่เสมอ นี่คือนโยบายที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับตัวของผมเอง สิ่งที่ผมเสียใจเพียงอย่างเดียวก็คือการที่ผมไม่ได้เห็นถึงประโยชน์ของมันมาตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพของการเก็งกำไร นั่นก็เพราะมันคงจะช่วยทำให้เส้นทางชีวิตในบางช่วงเวลาของผมราบรื่นมากกว่าที่เคยเป็นมานั่นเอง

เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ถึงแม้ว่าผมเองนั้นไม่เคยที่จะทำเงินได้สักแดงเดียวนอกตลาดหุ้นวอลล์สตรีท แต่ผมกลับเคยต้องสูญเสียเงินเป็นล้านๆดอลลาร์ซึ่งทำได้จากวอลลสตรีทไปโดยการนำไป “ลงทุน” ในการลงทุนรูปแบบอื่นๆแทน ผมนั้นเคยมีอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เมืองฟลอริดาเติบโต, บ่อน้ำมัน, โรงงานผลิตเครื่องบิน รวมถึงเคยได้ร่วมพัฒนาและทำการตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ๆ แต่ผมก็กลับต้องสูญเสียเงินทุกเซนต์ของผมไปในทุกๆครั้ง

ในครั้งหนึ่งของการลงทุนภายนอกตลาดหุ้นที่กระตุ้นความความสนใจของผมเป็นอย่างมากนั้น ผมได้พยายามชักชวนเพื่อนคนหนึ่งเพื่อมาเป็นหุ้นส่วนด้วยเงินจำนวน $50,000 แน่นอนว่าเขาได้รับฟังเรื่องราวของผมอย่างสนใจ แต่ภายหลังจากที่ผมได้เล่าเรื่องราวของผมจบลงแล้ว เขากลับพูดกับผมว่า

“ลิเวอร์มอร์ … คุณไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจใดๆนอกเหนือจากความถนัดของคุณได้หรอก ถ้าคุณต้องการเงินสัก $50,000 เพื่อการเก็งกำไรของคุณแล้ว มันก็คงจะเป็นเรื่องเหมาะสมที่คุณจะมาลองชักชวนผมดู แต่ผมขอร้องให้คุณกลับไปเก็งกำไรและอยู่ให้ห่างๆจากการทำธุรกิจเอาไว้เสียเถอะ”

เรื่องที่น่าตลกสำหรับผมก็คือ ในเช้าของวันต่อมานั้นมีจดหมายถูกส่งมาหาผม ซึ่งมันก็คือตั๋วแลกเงินจำนวนนั้นที่ผมไม่ได้ต้องการมันอีกต่อไปแล้วนั่นเอง

สิ่งที่เป็นบทเรียนอีกครั้งหนึ่งจากเรื่องนี้ก็คือ การเก็งกำไรก็คือธุรกิจในตัวของมันเองอยู่แล้วและมันก็ควรที่จะถูกมองในลักษณะนี้จากทุกๆคน จงอย่าปล่อยให้ตัวของคุณถูกชักจูงเพียงเพราะความตื่นเต้น, คำเยินยอ หรือแม้กระทั่งการล่อหลอกยั่วยวนใจใดๆทั้งสิ้น จงระลึกไว้ในใจอยู่เสมอว่า ในบางครั้งแล้วโบรคเกอร์ของคุณก็อาจกลายเป็นตัวบ่อนทำลายหรือหายนะสำหรับนักเก็งกำไรด้วยความไร้เดียงสาของพวกเขาเอง นั่นเพราะโบรคเกอร์ก็คือผู้ที่อยู่ในธุรกิจเพื่อทำเงินจากค่าคอมมิสชั่น พวกเขาไม่สามารถที่จะได้รับค่าคอมมิสชั่นใดๆได้หากลูกค้าของพวกเขาไม่ทำการซื้อขายใดๆขึ้นมาเลย และยิ่งลูกค้าของพวกเขาซื้อขายหุ้นขึ้นมากเท่าไหร่นั่นก็หมายถึงค่าคอมมิสชั่นที่มากขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน จริงอยู่ที่นักเก็งกำไรนั้นอาจต้องการที่จะซื้อขายหุ้นแต่โบรคเกอร์ของเขาไม่ได้ต้องการเพียงเท่านั้น พวกเขาต้องการให้มันเกิดขึ้นบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนมันมักที่จะนำไปสู่การซื้อขายที่มากจนเกินพอดีไป พึงระลึกไว้เสมอว่า นักเก็งกำไรไร้เดียงสาที่เห็นว่าโบรคเกอร์คือเพื่อนของเขานั้น ย่อมจะต้องเกิดการซื้อขายหุ้นจนมากเกินพอดีในเวลาไม่ช้าไม่นานอย่างแน่นอน

ในอีกมุมหนึ่งนั้น หากนักเก็งกำไรคนใดมีความฉลาดเพียงพอที่จะรู้ได้ว่าเมื่อไหร่จึงควรที่จะซื้อขายหุ้นบ่อยๆจนเกินพอดีได้แล้ว การกระทำเช่นนี้ก็อาจถือเป็นเรื่องที่พอยอมรับได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาอาจที่จะรู้ได้จริงๆว่าเมื่อไหร่ที่เขาจึงจะสามารถหรือควรที่จะทำการซื้อขายจนมากเกินพอดีไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ทำมันจนเกิดเป็นนิสัยขึ้นมาแล้ว น้อยคนนักที่จะฉลาดเพียงพอที่จะหยุดการกระทำเช่นนั้นลง พวกเขามักที่จะถูกชักนำออกไปไกลจนเกินไปและพวกเขาก็มักที่จะสูญเสียสามัญสำนึกของความสมดุลซึ่งมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการเก็งกำไรไป พวกเขามักไม่ได้นึกถึงวันที่พวกเขาจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมา ซึ่งในที่สุดแล้ววันนั้นก็จะต้องเดินเข้ามาถึง ผลกำไรที่ได้มาอย่างง่ายดายก็มักจะลอยหลุดไปอย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน และเมื่อถึงเวลานั้นก็จะมีนักเก็งกำไรที่หมดตัวเกิดขึ้นอีกคนหนึ่ง

จงจำไว้ให้ดีว่า อย่าได้ทำการซื้อขายใดๆจนกว่าที่คุณจะสามารถทำมันได้ด้วยความปลอดภัยทางการเงินของคุณเป็นอันขาด!

[ จบบทที่สอง รอติดตามบทที่สองได้ในบทความต่อไปเร็วๆนี้ หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถ Comment เพื่อสอบถามและพูดคุยกับผมได้เลยนะครับผม :D ]

ถ้าเห็นว่าบทความไหนมีประโยชน์ เพื่อนๆสามารถที่จะนำบทความไปแปะเพื่อแบ่งปันได้โดยไม่มีปัญหา แต่ยังไงขอแรงช่วยลิงค์อ้างอิงกลับมาที่แมงเม่าคลับกันหน่อยนะครับ :D หมายเหตุ : สำหรับการแปะลิงค์ใน Pantip.com ช่วยใส่ Link ให้เป็น http://www.mangmaoclub.com เพื่อให้แปะลงไปได้โดยไม่ Error ขอบคุณครับ :)